ปีแห่งความหวัง อย่าให้สิ้นหวังครับ...เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ไม่ว่าใครก็ตามล้วนมีความคาดหวังกันถ้วนหน้าว่าทุกอย่างจะดีขึ้นไม่ว่าอะไรก็ตาม
หลังการปรับ ครม.ล่าสุด และเริ่มทำงานกันได้ระยะหนึ่งด้วยจุดมุ่งหมายสำคัญก็คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทั้งที่ยังมีปัญหา โดยเฉพาะประชาชนรากหญ้าที่มีรายได้น้อยพ่วงด้วยความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นปัญหาหลักของประเทศ
อีกด้านหนึ่งก็คือการต่อยอดโครงการใหญ่ๆ เช่น อีอีซี ซึ่งเป็นอีกความหวังหนึ่งของประเทศ ต้องการยกระดับการพัฒนาประเทศขึ้นเป็นชาติที่พัฒนาแล้ว
ที่สำคัญก็คือชุบชีวิตรัฐบาล คสช.
หรือการไปต่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเก้าอี้นายกฯอีกรอบหนึ่ง
ว่าไปแล้วเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองนั้นแม้จะต่างกันแต่ก็ต้องไปด้วยกันอย่างแยกไม่ออก หากด้านหนึ่งไม่ดีก็พลอยทำให้อีกด้านหนึ่งไม่ดีไปด้วย
พูดง่ายๆว่า ต้องสอดรับกันทั้ง 2 ด้าน
นั่นก็เท่ากับทั้ง 2 อย่างนี้จะต้องไปด้วยกันคือ ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ปี 2561 นั้น รัฐบาลพูดมาหลายครั้งแล้วว่า การเมือง จะต้องเดินไปตามโรดแม็ป
จะให้มีการเลือกตั้งเดือน พ.ย.ปี 61 นี่แหละ แม้จะมีการเร่งเร้าให้พูดออกมาให้ชัดเจน แต่มันเป็นเรื่องการเมือง
ต่างฝ่ายก็ต่างพูดแบบการเมือง มันจึงไม่สามารถสร้างความแน่ใจหรือความมั่นใจ ก็เลยเกิดปัญหาการเมืองในประเด็นนี้มาตลอด
ล่าสุด นายกฯก็บอกว่า อย่าทำให้เกิดความขัดแย้ง สร้างความวุ่นวาย มิฉะนั้นจะไม่มีการเลือกตั้ง มันก็เป็นเสียอย่างนี้
ว่ากันถึงรัฐบาลสภาพทางการเมืองที่เป็นจริงต้องยอมรับว่าไม่ค่อยจะดีนัก อย่างการที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี รัฐบุรุษและอดีตนายกฯ 8 ปี ถือว่ามีประสบการณ์ ช่ำชองการเมืองครบเครื่อง
ได้กล่าวถึงนายกฯที่เข้าอวยพรวันปีใหม่ว่าด้วย “กองหนุน” ที่หดหายไปนั้นคือ สิ่งที่สะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองที่ชัดเจนที่สุด
...
เป็นคำจำกัดความที่ตรงประเด็นที่สุด
ก็ไม่รู้ว่านายกฯ และบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่นำไปคิดกันมากน้อยแค่ไหน เพราะแม้ว่าจะเริ่มทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมาระยะหนึ่ง ซึ่งก็มีทั้งด้านดีและด้านลบ
แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือศรัทธาที่ได้รับจากประชาชนต้องถือว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของ คสช. โดยเฉพาะสิ่งที่ประชาชนมอบให้ พล.อ.ประยุทธ์นั้น เหนือกว่าอดีตนายกฯหลายๆคน
คำถามก็คือว่า ทำไม “กองหนุน” จึงลดลงจนทำให้ พล.อ.เปรม เกิดความห่วงใยและชี้ให้เห็นความเป็นจริงซึ่งยากที่จะปฏิเสธ
เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่นายกฯต้องแก้ไขและตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อไม่เป็นปัญหาต่อรัฐบาลและนายกฯเอง
ว่าไปแล้วการเข้ามาทำงานในลักษณะนี้ต้องถือว่าเป็นความเสียสละและทำตัวเป็นแบบอย่าง เพราะเมื่อคุณว่าเขาไม่ดีก็ต้องทำให้ดีด้วย
ความเสียสละนี้เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเมื่อใครรู้ตัวว่ากำลังเป็นปัญหาและถ่วงการทำงานรวมถึงภาพลักษณ์ต่างๆ
ทางหนึ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือการเสียสละตัวเองด้วยการพ้นจากตำแหน่งเองดีกว่าที่จะอยู่เป็นตุ้มถ่วงทำให้พังไปทั้งคณะ
ไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่ใครอยู่ในภาวะนี้น่าจะรู้ตัวเองดีแล้ว.
“สายล่อฟ้า”