สวัสดีปีใหม่ครับ...
จากปีระกา (ไก่) เข้ามาสู่ปีจอ (หมา) เริ่มต้นปีด้วยอากาศหนาวเย็นสบายๆ ซึ่งคิดว่าส่วนใหญ่คนไทยยังมีความสุขกับการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆอยู่
กว่าจะกลับมาเริ่มต้นทำงานกันใหม่ก็เป็นวันที่ 4 ม.ค.61 คิดว่าทุกคนคงจะมีความสุข ได้พักผ่อนหย่อนใจถือเป็นการชาร์จแบตไปในตัว
หากจะทายใจกันทุกคนก็คงอยากจะรู้สถานการณ์บ้านเมืองในปีจอนั้นจะเป็นอย่างไร จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ การเมืองจะราบรื่นหรือไม่ เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างรัฐบาลมั่นใจหรือไม่
เหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนย่อมอยากจะรับรู้
แต่ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งเมื่อปลายปีใกล้จะปีใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้นำ ครม.ผู้บัญชาการเหล่าทัพและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ณ บ้านพักสี่เสาเทเวศน์
ระหว่างการร่วมอวยพรบรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข แต่เมื่อแยกย้ายกันกลับไปบ้านแล้ว
คงมีบางคนที่ไม่ค่อยมีความสุขนัก...มันเรื่องอะไรล่ะถึงคิดกันแบบนั้น
คำตอบอยู่ตรงที่ว่า...
“ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทย กองหนุนก็จะมาเอง
“เพราะฉะนั้นขอให้ดำรงความมุ่งหมายเพิ่มเติมกองหนุนมากขึ้นให้ได้ ผมเชื่อว่าตู่ทำได้ พวกเราทุกคนก็ทำได้และกำลังทำกันอยู่ ข้อสำคัญที่สุดก็คือขอให้ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีกับชาวไทยว่าคนไทยที่ดีคืออย่างไร
“ขอย้ำอีกทีว่า ที่ตู่พูดว่าจะนำความสุขมาให้คนไทยจะต้องดำรงความมุ่งหมายนี้ให้ได้ แม้จะเหนื่อยยากก็ตาม”
เป็นคำกล่าวของรัฐบุรุษ “เปรม ติณสูลานนท์”
หากคลี่ออกมาก็มีอยู่ 3 ประเด็นคือ ต้องคืนความสุขให้ประชาชนให้ได้ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี
...
ประเด็นสำคัญก็คือกองหนุนนายกฯหมดไปหลายกระบุง
ด้วยคำพูดสั้นๆ แต่ชัดเจนและให้คำตอบต่อสถานภาพของนายกฯ รัฐบาล และ คสช.ที่กำลังเผชิญอยู่ ณ นาทีนี้
เป็นเสียงเตือนด้วยความห่วงใยจาก “รัฐบุรุษ” ผู้พูดน้อย
แต่ทำงานหนัก ผู้มีประสบการณ์ทั้งการเมืองการทหารมาอย่างโชกโชน
สรุปก็คือผมจะบอกว่าสถานการณ์การเมืองในปีจอนั้นให้พุ่งเป้าไปที่คำว่า “กองหนุน” นั่นแหละคือคำตอบ
คนที่จะตอบได้ก็คือนายกฯพูดมาก แต่งานออกมาน้อยโดยเฉพาะงานหลักๆอย่างการปฏิรูป การจัดการปัญหาทุจริต และปัญหาปากท้องรากหญ้า เป็นต้น
มิหนำซ้ำยังต้องกระเตงอันไม่ต่างไปจากภาวะ “เตี้ยอุ้มค่อม” เพื่อนพ้องน้องพี่ที่หนักสาหัสสากรรจ์เอาการ
เพราะผู้คนรู้สึกว่าเป็นไปเพื่อตัวเองมากกว่าชาติบ้านเมือง
อย่าได้คิดว่ายังมีอำนาจควบคุมกองทัพที่พร้อมหนุนซึ่งกันและกันได้ จึงคิดที่จะทะยานต่อไปข้างหน้าโดยลืมสภาพความเป็นจริงที่แปรเปลี่ยนไป
ทุกวันนี้ดูเหมือนจะยากขึ้นไปเรื่อยๆ ยากจนแทบจะจับต้องไม่ได้ด้วยมือของตัวเองด้วยซ้ำไป ครั้นเหลียวหลังกลับมาก็มองหา “กองหนุน” แทบจะไม่เจอ
เพราะท่านใช้ “ศรัทธาเปลือง” การร้องหาอีกก็เป็นเรื่องยากเสียแล้ว.
“สายล่อฟ้า”