คกก.ปฏิรูปตำรวจ ให้แยกงานสอบสวนออกจากงานสืบสวน ชูแยกงานสอบสวนตั้งเป็นกองบัญชาการ ปรับโครงสร้าง ก.ตร.ให้มีผู้ทรงคุณวุฒิคนนอก ที่ไม่ใช่ตำรวจร่วมอยู่ด้วย ลดอำนาจให้แต่งตั้งได้เฉพาะ ผบ.ตร.เพียงเก้าอี้เดียว

เมื่อวันที่ 8 พ.ย.60 ที่รัฐสภา นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานอนุกรรมการด้านสื่อสารกับสังคม คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) กล่าวถึงความคืบหน้าการปฏิรูปตำรวจว่า ตามที่คณะกรรมการมีข้อสรุปเบื้องต้นให้งานสืบสวนสอบสวนอยู่ด้วยกัน ล่าสุดมีแนวโน้มอาจต้องปรับเปลี่ยน เนื่องจากมีข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มาประสานงานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ให้ทบทวนแนวทางการแยกภารกิจงานสอบสวนให้ชัดเจน โดยอาจให้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ตำรวจ แต่มีความรู้ด้านนิติศาสตร์ และการพิจารณาอรรถคดีมาทำหน้าที่งานสอบสวนได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯจะประสานนายวิษณุมาให้ข้อมูลและรายละเอียดในวันที่ 13 พ.ย.นี้ มีความเป็นไปได้ว่า จะแยกงานสอบสวนออกเป็นอีกกองบัญชาการต่างหาก ยืนยันว่า งานสอบสวนกับงานปราบปรามต้องประสานสอดคล้องกัน

นายมานิจ กล่าวต่อว่า ส่วนแนวทางแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจนั้น ได้พิจารณาเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การแต่งตั้งโยกย้ายมีความชัดเจน สอดคล้องกับตามมาตรา 258 (ง) ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้ายต้องพิจารณาโดยมิให้ผู้ใดก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติงานของตำรวจ กระบวนการแต่งตั้งต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถ หลักอาวุโส เพื่อให้การทำงานเป็นไปโดยอิสระ ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติว่าคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จะมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เคยเป็นตำรวจ และไม่เป็นตำรวจ รวมอยู่ด้วย และก.ตร.จะแต่งตั้งได้เฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

...

ส่วนตำแหน่งอื่นๆ จะพิจารณาในสายบัญชาการของตนเอง แบ่งเป็น 12 สาย อาทิ กองบัญชาการภาค 1-9 ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และจเรตำรวจ อย่างไรก็ตามจะมีการหารือข้อสรุปอีกครั้งวันที่ 10 พ.ย.นี้ เพื่อส่งให้คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น ก่อนสรุปข้อเสนอทั้งหมดส่งให้นายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 29 ธ.ค.นี้