โหรคมช.ชี้ช่อง มี‘นักการเมือง’
โหร คมช.ทำนายปรับ ครม.เดือนนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้น ธ.ค. ชี้จะได้คนหลากหลายอาชีพเข้ามาช่วยทำงานเพื่อบ้านเมือง ฟันธงปรับประมาณ 10 ตำแหน่ง นักการเมืองโผล่ร่วมด้วย เผย “บิ๊กตู่” ได้รายชื่อพิจารณาบ้างแล้ว มีทั้งทหาร ขรก. พลเรือน แนวโน้มค่อนข้างชัดลดสัดส่วนทหาร เน้นหาคนมาปั่นผลงานทิ้งทวน ปชป.แนะอย่าปรับแค่คน ต้องปรับวิธีทำงานด้วย เห็นควรด้วยให้ทหารไปพักผ่อน “ยะใส” ขอนายกฯใจกล้าๆ รื้อใหญ่เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โพลกว่าร้อยละ 70 หนุนปรับ ครม. ด้าน พท.ยังตามตื๊อปลดล็อก โหนโพลขย่ม “บิ๊กตู่” ก.แรงงานแย้มซื้อเครื่องสแกนม่านตาเร่งพิสูจน์สัญชาติต่างด้าว “จรินทร์” ยันอธิบดีจัดหางานโดนเด้ง ไม่เกี่ยวปมเกียร์ว่างชงเรื่องจัดซื้อ
กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจว่าจะมีการปรับอย่างไร ปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เพราะมองว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องปรับ ครม.แน่ เนื่องจากพลเอกศิริชัย ดิษฐกุล อดีต รมว.แรงงานได้ลาออกจากตำแหน่งไป โดยนักการเมืองฉวยจังหวะนี้ชี้เป้าให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบางกระทรวง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ล่าสุดโหร คมช.ออกมาฟันธงเรื่องนี้แบบตรงประเด็น

...
โหร คมช.ชี้ปรับ ครม.ดึงนักการเมือง
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าของฉายาโหร คมช. กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ยังเป็นไปตามที่ตนได้ทำนายไว้ ยังไงก็ต้องปรับ ครม. และปรับจะเร็วขึ้นด้วย คือภายในช่วงเดือน พ.ย. หรืออย่างช้าเสร็จต้นเดือน ธ.ค. โดยการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะมีความหลากหลาย ได้คนจากหลายอาชีพเข้ามาช่วยทำงานเพื่อบ้านเมือง ทุกอย่างจะดีขึ้น และการปรับครั้งนี้จะเป็นการปรับแบบตรงจุด โดยจะมีผู้ที่มีหน้าที่เท่านั้นที่จะได้เข้ามาคนที่หมดหน้าที่ก็ต้องหมดและออกไป เท่าที่ดูมีหลายคนที่ต้องหมดหน้าที่ไป เช่น พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อดีต รมว.แรงงาน ที่ถือว่าดวงหมดหน้าที่แล้ว ไม่กลับเข้ามาใหม่ ส่วนจำนวนที่มีการปรับเปลี่ยนจะอยู่ที่ประมาณ 10 กว่าตำแหน่ง และอาจจะมีกลุ่มนักการเมืองที่มีหน้าที่เข้ามาบ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ เข้ามาในลักษณะคล้ายนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี คือพอมีหน้าที่ก็ต้องได้เข้ามาร่วม
“บิ๊กตู่” เริ่มเฟ้น รมต.ทำงานทิ้งทวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 เริ่มมีความคืบหน้าเคลื่อนไหว นอกเหนือจากที่ต้องแต่งตั้ง รมว.แรงงาน แทน พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ที่ลาออกจากตำแหน่งไปแล้วนั้น ล่าสุดในส่วนของรายชื่อกระทรวงอื่นๆได้ทยอยส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. พิจารณาส่วนหนึ่งแล้ว อยู่ระหว่างนายกฯนัดหารือกับแกนนำรัฐบาลในการตัดสินใจ โดยช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีการพิจารณาไปพอสมควรรายชื่อเบื้องต้นมีทั้งอดีตนายทหาร อดีตข้าราชการที่เพิ่งเกษียณ พลเรือน รวมถึงผู้ที่เคยร่วมงานกับนายกฯ สำหรับการปรับ ครม.ครั้งนี้ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่านายกฯต้องการลดสัดส่วนรัฐมนตรีทหารลง พยายามเน้นความหลากหลาย เลือกคนที่มีคุณสมบัติตรงกับงาน เพื่อเร่งขับเคลื่อนงานต่างๆ ในช่วงสุดท้ายก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง

ปชป.จี้ให้ปรับวิธีทำงานด้วย
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล คสช.ว่า เมื่อมีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ก็ต้องหาบุคคลที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทน เมื่อนายกรัฐมนตรีต้องปรับ ครม.ทั้งที จึงขอฝากว่าไม่ควรปรับแค่บุคคล แต่ควรปรับปรุงวิธีการทำงานให้เป็นที่พึงพอใจของประชาชนด้วย โดยเฉพาะปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ เศรษฐกิจรากหญ้าที่อยู่ในภาวะฝืดเคือง ไม่มีสภาพคล่อง ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำทั่วไปบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ค้าขายไม่ดีกันแทบทุกหย่อมหญ้า ขอให้คัดสรรบุคคลที่มีความรู้ เหมาะสมกับงานคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวหรือเพื่อนพ้องน้องพี่ ปรับกระบวนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามประเมินผลอย่างทันท่วงที และเน้นเรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้ ถ้าท่านนายกฯปรับ ครม.ไปพร้อมๆกับปรับปรุงการทำงาน เชื่อว่าจะทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน
เปลี่ยนคนไม่เปลี่ยนแนวก็ไร้ผล
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การปรับ ครม.เป็นเรื่องปกติของ แต่ละรัฐบาลในการบริหาร เพื่อประเมินผลงานรัฐมนตรี แต่ละคน แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะตอนนี้ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหัวระแหง หลักๆคือเรื่องปากท้อง ประชาชน นอกจากรายได้ลดลง หนี้สินยังเพิ่มขึ้น จากการประกอบธุรกิจที่เกิดปัญหาความไม่เชื่อมั่นรัฐบาล วันนี้รัฐบาลทำนโยบายที่ผิดพลาดหลายเรื่อง อาทิ บัตรคนจนที่หวังกระตุ้นคนรากหญ้าให้เกิดการ จับจ่ายใช้สอย แต่กลับยึดติดรูปแบบความภาคภูมิใจ ของผู้แจกบัตร แถมเงื่อนไขรายละเอียดซับซ้อนไม่ถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง ส่วนปัญหายางพาราและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หลังจากอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องดังกล่าว เข้าไปพูดคุยเสนอแนะแนวทางแก้ไข แต่รัฐบาลกลับไม่ฟัง ยังเดินหน้าร่วมมือกับผู้ค้ายางรายใหญ่ ออกมาตรการหวังเพิ่มความต้องการซื้อยาง แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ราคายางตกต่ำจนถึงทุกวันนี้ พิสูจน์แล้วว่าดำเนินนโยบายผิดพลาดทั้งนั้น ฉะนั้นต่อให้ปรับ ครม.สักกี่เก้าอี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้ายังใช้ วิธีการทำงานและแก้ปัญหาแบบเดิมๆ
รมต.ทหารควรพักผ่อนได้แล้ว
นายเจริญ คันธวงศ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ดูการปรับ ครม.ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ ที่หาคนเก่งมาทำงาน แก้ปัญหา อยากให้เอาแนวทางแบบนั้นมาพิจารณาบ้าง เวลานี้คนบ่นมากว่าเศรษฐกิจไม่ดี โดยเฉพาะคนรากหญ้า ส่วนทหารที่ร่วมรบกันมา ก็เป็นรัฐมนตรีมากว่า 3 ปีแล้ว ขอให้ท่านพักผ่อนได้แล้ว และเห็นว่า ควรปรับ ครม.แทบจะทุกกระทรวง เวลานี้ปัญหาน้ำท่วมก็มีแต่ภาพนายกฯลงพื้นที่ ส่วนปัญหาราคายางพาราตกต่ำ รัฐมนตรีควรไปหาชาวบ้าน ไปให้ กำลังใจ ไม่ใช่ปล่อยให้แต่ข้าราชการทำ รัฐมนตรีประเภทนี้ก็ควรปรับ นายกฯก็ควรเลือกหน่อย ถ้าเอาข้าราชการมาเป็นก็จะมองแบบข้าราชการ ไม่ใช่ เอาคนที่เป็นทหารร่วมรบมาด้วยกัน ควรพอได้แล้ว หรือถ้าจำเป็นก็ต้องพยายามให้น้อยที่สุด

“ยะใส” ขอนายกฯกล้ารื้อครั้งใหญ่
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวถึงการปรับ ครม.ของรัฐบาลภายหลัง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจาก รมว.แรงงาน ว่า ถึงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ ปรับ ครม.ทั้งคณะ ก่อนประกาศปลดล็อกและกำหนดวันเลือกตั้ง เพราะโอกาสกลับมาเข้าทางนายกฯ อีกครั้ง อยู่ที่ว่าจะมีความกล้าหาญหรือไม่ ต้องยอมรับว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐมนตรีหลายกระทรวงสอบไม่ผ่าน พิสูจน์พอแล้วว่าการเอาทหารมาเป็น ครม.มากเกินไปไม่ตอบโจทย์ ทำให้ปัญหาพุ่งไปกดดันที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว เพราะยังมีต้นทุนมากกว่าคนอื่น ที่สำคัญการปรับ ครม.โค้งสุดท้ายต้องไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวคน หรือย้ายสลับเก้าอี้ แต่ต้องกล้าเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองการแก้ปัญหาด้วย นอกจากนี้ควรบูรณาการกลุ่มงาน ครม. เพื่อรับผิดชอบปัญหาแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มงานปฏิรูปประเทศ กลุ่มงานแก้ปัญหาปากท้องเฉพาะหน้า กลุ่มงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กลุ่มงานปรองดองสมานฉันท์ เป็นต้น อยากให้การปรับ ครม.ครั้งนี้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ คนไทย ถ้านายกฯมองข้ามโอกาสนี้ไป ถือว่าน่าเสียดาย อาจหมดเวลาแก้ตัวในที่สุด
โพลกว่าร้อยละ 70 หนุนปรับ ครม.
วันเดียวกัน ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่องปลดล็อก หรือปรับ ครม. จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนไทยทุกสาขาอาชีพจำนวน 1,109 คน เมื่อวันที่ 3-4 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า จากการสอบถามถึงการปลดล็อกพรรคการเมือง พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 66.0 ระบุควรปลดล็อก อนุญาตให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหวได้ เพราะพรรคการเมืองและนักการเมืองจะช่วยทำประโยชน์ให้ประชาชนได้ดีกว่า ตามวิถีประชาธิปไตย ขณะที่ร้อยละ 34.0 ระบุยังไม่ควรปลดล็อก เกรงจะวุ่นวาย ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายจะกลับมาอีก อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ร้อยละ 82.7 คิดว่าสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆมีการพบปะกันเป็นประจำอยู่แล้ว ในขณะที่ร้อยละ 17.3 คิดว่าไม่มีการพบกัน นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.4 ระบุควรปรับ ครม. เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนหลายด้าน อาทิ ทีมเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ หนี้สินและแรงงานไทย ทีมสังคม แก้ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม และการปรองดองของคนในชาติ ในขณะที่ร้อยละ 28.6 ระบุยังไม่ควรปรับ ครม. ทั้งนี้ เมื่อสำรวจฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปรากฏว่าลดลงจากร้อยละ 78.4 ในเดือน ก.ค. มาอยู่ที่ร้อยละ 52.0 ในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้
หนุนปลดล็อกเพราะใกล้เลือกตั้ง
ด้านสวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,289 คน ต่อกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยืนยันให้มีการเลือกตั้งปลายปี 2561 ส่งผลให้พรรคการเมืองออกมาเรียกร้องให้ปลดล็อก พบว่าร้อยละ 41.18 มองว่าพรรคการเมืองต้องการทำกิจกรรมทางการเมืองจึงออกมากดดันรัฐบาล ร้อยละ 22.80 ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ คสช. รอเวลาที่เหมาะสม ร้อยละ 22.54 ควรให้พรรคการเมืองได้ประชุม เตรียมความพร้อมก่อนการเลือกตั้ง ส่วนข้อดี-ข้อเสียของการปลดล็อกพรรคการเมือง ข้อดี มากที่สุดร้อยละ 45.66 เป็นประชาธิปไตย ไม่ถูกปิดกั้น รองลงมาร้อยละ 36.62 สถานการณ์ดีขึ้น ร้อยละ 26.04 พรรคการเมืองมีอิสระทำกิจกรรมได้ ส่วนข้อเสีย มากที่สุดร้อยละ 48.08 บ้านเมืองไม่สงบ วุ่นวาย รองลงมาร้อยละ 28.71 อาจเกิดการเคลื่อนไหวชุมนุม ประท้วง และร้อยละ 19.37 มีการวิพากษ์วิจารณ์ ใส่ร้าย โจมตีกัน เมื่อถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะปลดล็อกพรรคการเมือง ร้อยละ 65.17 เห็นว่าถึงเวลาแล้ว เพราะใกล้จะมีการเลือกตั้ง ประชาชนจะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ส่วนร้อยละ 34.83 ระบุยังไม่ถึงเวลา เพราะเพิ่งผ่านพ้นพระราชพิธีมาไม่นาน ยังเห็นความขัดแย้งของพรรคการเมือง โดยมองว่าเวลาควรปลดล็อก เช่น ต้นปีหน้า, ก่อนเลือกตั้ง 6 เดือน, รอให้มีการประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนก่อน, ดำเนินการตามโรดแม็ปที่กำหนด
พท.โหนผลโพลจี้ “บิ๊กตู่” ปลดล็อก
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ระบุรำคาญนักการเมืองที่เรียกร้องให้ปลดล็อกพรรคการเมืองว่า สวนดุสิตโพล กรุงเทพโพล และซุปเปอร์โพล ต่างสะท้อนความเห็นประชาชนในทิศทางเดียวกันว่า กว่า 70% เห็นด้วยอยากให้ปลดล็อกพรรคการเมือง ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์จะรำคาญเสียงประชาชนหรือไม่ ความงดงามของระบอบประชาธิปไตยคือการรับฟังเสียงประชาชน วันนี้ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองที่เรียกร้องให้ปลดล็อกนำไปสู่การเลือกตั้ง ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาขณะนี้ ประชาชนต่างก็สะท้อนเช่นเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์จะหงุดหงิดรำคาญใจแค่ไหนก็ควรรับฟัง หากไม่เชื่อมั่นประชาชน ไม่เคารพรับฟังเสียงประชาชน ผลจะเป็นเช่นไร ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบ สะท้อนผ่านคะแนนนิยม พล.อ.ประยุทธ์เองที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ

อัดผู้นำกลับกลอกอ้างไปเรื่อย
นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่อ้างเหตุยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมืองว่าขอเอาเรื่องประชาชนก่อน การเมืองไว้ทีหลังนั้น ทำให้สิ้นสงสัยถึงระดับสติปัญญาและพฤติกรรมที่กลับกลอกของผู้นำ คงไม่ทราบว่าการเมืองเป็นเรื่องของประชาชน การจำกัดสิทธิทางการเมืองคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งที่เพิ่งไปทำแถลงการณ์ร่วมกับสหรัฐฯจะปกป้องสนับสนุนสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน ไม่ทันไรก็ทำตรงข้ามที่พูดไว้ เกือบสี่ปีที่บริหารประเทศมีแต่เรื่องฉาวโฉ่ของตัวและพวกพ้อง เริ่มจากการอนุมัติให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกรับงาน โดยไม่ประกวดราคาแล้วเอางานไปขายชักหัวคิวแบ่งกัน อุทยานราชภักดิ์ แอบซื้อเรือดำน้ำช่วงสงกรานต์ อนุมัติงบกลางจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็ว ที่เสียหายมากคือการใช้อำนาจสั่งปิดเหมืองทอง จนอาจถูกเรียกค่าไร้สติปัญญาถึง 30,000 ล้าน แต่อ้างว่าไม่ต้องรับผิดชอบเพราะมีมาตรา 44 พล.อ.ประยุทธ์ชอบกล่าวหานักการเมืองทำบ้านเมืองเสียหาย ถ้ากล้าไปเดินตลาดคนเดียวจะทราบว่าประชาชนลำบากเพราะการยึดอำนาจ การบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ หากอยากรู้ความจริงลองกำหนดการเลือกตั้งให้เร็วขึ้นและประกาศจะวางมือจากการเมือง ถ้าหุ้นตกแปลว่าท่านเป็นที่ต้องการของประชาชน แต่ถ้าหุ้นขึ้น สัญญาณทางเศรษฐกิจดีขึ้น คือคำตอบว่าใครเป็นตัวถ่วงความเจริญบ้านเมือง
ก.แรงงานเร่งพิสูจน์สัญชาติต่างด้าว
วันเดียวกัน นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการเร่งตรวจพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวว่า กลุ่มบัตรสีชมพู 1.3 ล้านคน จะต้องจบภายในวันที่ 31 มี.ค.61 ส่วนกลุ่มที่ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์กว่า 7 แสนคน ซึ่งจะครบกำหนดชะลอโทษ 180 วัน ในวันที่ 31 ธ.ค.60 หากไม่ทันก็ต้องดูนโยบายว่าจะให้ส่งกลับหรือจะลงทะเบียนและพิสูจน์ตัวบุคคลไว้ก่อน แล้วค่อยไปพิสูจน์สัญชาติและปรับสถานภาพทีหลัง แต่ก็ต้องไม่เกินวันที่ 31 มี.ค.61 เท่ากับกลุ่มบัตรสีชมพู เรื่องนี้ต้องคุยกับประเทศต้นทาง ทั้งลาว กัมพูชา เมียนมา หากอยากให้แรงงานทำงานในประเทศไทย มีเงินส่ง กลับประเทศ ก็ต้องอำนวยความสะดวกให้การรับรองสถานะบุคคล ให้การพิสูจน์สัญชาติมีความรวดเร็วขึ้น
แย้มเล็งซื้อเครื่องสแกนม่านตา
นายจรินทร์กล่าวว่า การพิสูจน์ตัวบุคคล มีคณะกรรมการที่ตั้งตามมาตรา 44 ขณะเดียวกันก็มีองค์การปกครองซึ่งมีฐานข้อมูลใหญ่อยู่แล้ว สามารถทำงานร่วมกัน ทั้งลายนิ้วมือ ภาพใบหน้าต่างๆ น่าจะพิสูจน์ตัวตนเบื้องต้นได้ ส่วนเรื่องสแกนม่านตาในเบื้องตนได้ทำในกลุ่มประมงก่อน เพราะเป็นแรงงานกลุ่มเสี่ยงที่ทำงานหนัก มือด้านแล้วลายนิ้วมือหายหมดจึงต้องใช้การสแกนม่านตา เมื่อถามว่า กระทรวงแรงงานมีความจำเป็นในการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตาหรือไม่ นายจรินทร์ตอบว่า ยังไม่มี แต่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่ คสช.ตั้งขึ้นมาดูแลจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งราคาเครื่องก็แค่แสนเดียว
ย้าย “วรานนท์” ไม่เกี่ยวปมชงเรื่อง
“เดิมทีเรื่องสแกนม่านตาเป็นของกรมเจ้าท่า เพราะแรงงานประมงไม่มีลายนิ้วมือ พิสูจน์ไม่ได้ ม่านตาแสดงอัตลักษณ์คนได้ เมื่อสแกนม่านตาแล้วต้องมาออกใบอนุญาตทำงาน ซึ่งกรมการจัดหางานเป็นคนทำ ฉะนั้น เขาจึงให้มาทำที่เดียวเลย มันก็มีหลักมีเหตุผล การดำเนินการต่างๆถูกตรวจสอบอย่างรอบคอบ ไม่มีทุจริต ยืนยันว่าการย้ายนายวรานนท์ ปีติวรรณ อดีตอธิบดีกรมการจัดหางาน ไปเป็นรองปลัดกระทรวงแรงงาน ไม่ใช่เรื่องไม่สนองนโยบาย หรือไม่ชงเรื่องซื้อเครื่องสแกนม่านตา แต่เป็นเรื่องของประสิทธิภาพของการทำงาน” นายจรินทร์กล่าว
สแกนใบหน้ากลุ่มประมงยังล่าช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ได้กำชับให้ทุกกระทรวงสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) และปัญหาการค้ามนุษย์ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะถือเป็นวาระแห่งชาติ และได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานทำการเก็บข้อมูลด้านอัตลักษณ์ โดยการสแกนใบหน้าและม่านตา (Face and Iris Scan) แรงงานต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ำ ต่อจากกรมเจ้าท่าที่ดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง โดยกระทรวงแรงงานได้รับเครื่องมือสแกนใบหน้าและม่านตา (Face and Iris Scan) จากกรมเจ้าท่ามาจำนวนหนึ่งตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.60 โดยให้เร่งรัดเก็บข้อมูลแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ำที่คงเหลืออยู่ในระบบอีกกว่า 200,000 คน ให้จบในวันที่ 1 พ.ย. แต่การดำเนินการไม่คืบหน้ามากนัก นอกจากนี้ ในระยะต่อไปจะดำเนินการกับแรงงานต่างด้าวทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศ ไทยกว่า 3.5 ล้านคนด้วย

“สมชัย” อัด กรธ.ทำคนใช้สิทธิน้อย
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารกลาง โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ก่อนหน้านี้ กกต.ได้ใช้เกณฑ์ผู้มีสิทธิออกเสียง 600-800 คนต่อหนึ่งหน่วยเลือกตั้ง การเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิต่อหน่วยเป็น 1,000 คน ทำให้จำนวนหน่วยเลือกตั้งทั้งประเทศน้อยลง จาก 95,000 หน่วย อาจเหลือประมาณ 60,000 หน่วย ส่งผลให้ประชาชนต้องเดินทางไปหน่วยเลือกตั้งด้วยระยะทางที่ไกลขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่ตั้งอาจเป็นอุปสรรคต่อการไปใช้สิทธิ จำนวนผู้ต่อแถวจะยาวขึ้น ความสะดวกลดลง กกต.ชุดนี้พยายามอำนวยความสะดวกเพื่อส่งเสริมให้คนมาใช้สิทธิ แต่การออกแบบใหม่ของ กรธ.ยิ่งเป็นอุปสรรคในการใช้สิทธิของประชาชน ดังนั้นในวันเลือกตั้งหากคนมาใช้สิทธิน้อยและต่อแถวยาว ควรทราบว่าใครเป็นสาเหตุ
หวั่น กก.ประจำหน่วยถูกเหมาซื้อ
นายสมชัยกล่าวว่า นอกจากนี้การลดกรรมการประจำหน่วยจากเดิมไม่น้อยกว่า 9 คน เหลือไม่น้อยกว่า 5 คน ยกเว้นหน่วยที่มีผู้มีสิทธิเกินกว่า 800 คน อาจเพิ่มจำนวนกรรมการประจำหน่วยได้ตามความเหมาะสมนั้น วิธีคิดดังกล่าวจะเป็นปัญหาอุปสรรคในการทำงาน เนื่องจากมีการขยายเวลาในการเลือกตั้งออกไปอีกหนึ่งชั่วโมง ถึงเวลา 16.00 น. ทั้งยังกำหนดจำนวนผู้มีสิทธิต่อหน่วยเพิ่มขึ้น อาจทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่มีไม่เพียงพอ และไม่สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน หรืออาจถึงขนาดมีการซื้อกรรมการยกหน่วยโดยผู้มีอำนาจ อิทธิพล เพราะสามารถกระทำได้ง่ายขึ้น
ยื่นนายกฯ-สนช.จี้ปฏิรูปศาล
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 6 พ.ย. เวลา 10.00 น. จะไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล และเวลา 11.00 น. จะไปยื่นหนังสือต่อนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่รัฐสภา เพื่อให้ทบทวนและเร่งรีบการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพราะนับตั้งแต่ คสช.ยึดอำนาจการปกครอง และมีการกำหนดภารกิจการปฏิรูปด้านต่างๆให้สำเร็จนั้น ปรากฏว่าการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการปฏิรูปศาล และวิธีพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมกลับแทบไม่ได้ดำเนินการปฏิรูป มีการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างมากเรื่องการใช้ดุลพินิจอย่างกว้างขวาง โดยไม่มีกรอบจำกัดของผู้พิพากษา จนอาจมากเกินขอบเขต รวมถึงมีปัญหาการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่ยาก เช่น ปัญหา ค่าธรรมเนียมศาล การขอดำเนินคดีแบบอนาถา โดยเฉพาะกระแสวิพากษ์วิจารณ์คนรวยและคนยากจนได้รับความยุติธรรมในระบบศาลไม่เท่าเทียมกัน เช่น คดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง คดีตายายเก็บเห็ด การติดคุกเพราะไม่มีเงินประกันตัว ปัจจุบันมีกว่า 60,000 คน ทั่วประเทศ จึงอยากเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการทางศาล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

“เรืองไกร” ตั้งแง่ ก.ม.งบฯยื่นศาล รธน.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า วันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา ตนได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพ ตามสิทธิในฐานะเป็นผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา งวดเดือน ต.ค. 2560 จำนวน 9,000 บาท โดยเงินดังกล่าวมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 แต่มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่ากฎหมายงบประมาณดังกล่าวตราขึ้นมาโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 หรือไม่ เพราะมาตราดังกล่าวกำหนดว่า กฎหมายงบประมาณต้องเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่กฎหมายงบประมาณปี 61 จัดทำขึ้นในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังและยุทธศาสตร์ชาติ ดังนั้นจึงไม่น่าจะนำมาใช้บังคับได้ และจำเป็นต้องไปร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดทำกฎหมายงบประมาณ 2561 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยจะไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 พ.ย. เวลา 10.00 น. พร้อมทั้งนำเงินจำนวน 9,000 บาท ไปวางไว้ต่อศาลด้วย