กลายเป็น ‘ดาบ2คม’ บาดตัวเอง พท.ซัดวางกลไกสืบทอดอำนาจ ‘บิ๊กป้อม’ ถกความมั่นคงตาม ‘ปู’
คนกันเองเตือน คสช.แผนยุทธศาสตร์ชาติดาบสองคม ผิดทิศหลงทาง กลายเป็นโซ่ตรวนล่ามชาติ หยุดพัฒนาไปอีกหลายสิบปี ชี้แผน 20 ปีนานไปไร้ยืดหยุ่นเสี่ยงถูกภาคธุรกิจครอบภาครัฐ มึนตึ้บให้ ป.ป.ช.มาชี้มูลเชิงยุทธศาสตร์ ไม่เกี่ยวเรื่องทุจริต พท.ย้ำ ตั้ง กก.วางกลไกสืบอำนาจชัดเจน เย้ยรู้ๆกันอยู่แล้ว ปชป.หวั่นยุทธศาสตร์ชาติแข็งกระด้าง ไม่สอดรับการเปลี่ยนแปลงของโลก อาจนำไปสู่ปฏิวัติรอบใหม่ “นิพิฏฐ์” โบ้ย “เอนก” ลุยปฏิรูปไปเลยเต็มที่ ไม่ต้องมาขอความเห็นพรรคการเมือง เพราะชั่วโมงนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ “บิ๊กป้อม” เรียกถกหน่วยงานความมั่นคง รายงานคืบหน้าตามตัว “ยิ่งลักษณ์” สแกนจุดเข้า-ออกชายแดน “ปณิธาน” เผยพบพิรุธรถเข้า-ออกบ้านหลายคันผิดสังเกต เชื่อไม่ได้หลบหนีไปคนเดียว ฮิวแมนไรท์แอนตี้ คสช.ใช้ ม.116 พร่ำเพรื่อ หวังผลทางการเมือง ปชป.สำทับใช้เป็นเครื่องมือเตะตัดขาสื่อ
สืบเนื่องจากกรณีที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายสร้างความสามัคคีปรองดอง ปฏิรูปประเทศ และวางยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว 20 ปี ให้เหมือนเป็นเข็มทิศประเทศในอนาคต โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำกับดูแลหลายชุดนั้น มีเสียงเตือนจากอดีตคน คสช.ว่าแนวทางดังกล่าว หากเดินผิดทิศทางไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะเกิดผลเสียหายมหาศาล

...
เตือนยุทธศาสตร์ชาติดาบสองคม
นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซุปเปอร์บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ในรัฐบาล คสช. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็น “ว่าด้วยแผนยุทธศาสตร์ชาติ ตอนที่ 1 มันจะออกมาเป็นคบไฟนำทาง หรือโซ่ตรวนล่าม ชาติกันแน่” ตอนหนึ่งว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีอำนาจ ในบ้านเมืองนี้กว่าครึ่ง กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการวางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งสำคัญมาก ถ้าทำได้ดีประเทศอาจจะเจริญรุดหน้าได้ดีดั่งหวัง แต่ถ้าทำได้ไม่ดีชาติอาจถูกฉุดให้หยุดการพัฒนาประเทศไปหลายสิบปีได้เลย เช่นเดียวกับแผนยุทธศาสตร์ “Burmese Way to Socialist” ของจอมพลเนวิน ที่ปฏิวัติพม่าในปี 2505 อ้างว่าใช้สังคมนิยม ชาตินิยม และพุทธศาสนาเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วเป็นการจรรโลงระบอบ “ทหารนิยม” ครองอำนาจยาวนาน จน 40 ปี ให้หลัง จากประเทศมั่งคั่งกลายเป็นประเทศที่ยากจนอันดับสองของเอเชีย และนึกถึงแผนยุทธศาสตร์ “Bolivarian Mission” ของประธานาธิบดีชาเวซแห่งเวเนซุเอลา ที่ตอนแรกประชาชนชื่นชมอย่างท่วมท้น แต่อีกไม่ถึง 20 ปีให้หลัง ประเทศที่มั่งคั่งทรัพยากรที่สุดก็เละเสียยิ่งกว่าเละอย่างไม่น่าเชื่อ
อาจกลายเป็นโซ่ตรวนล่ามชาติ
นายบรรยงระบุว่า มีข้อสังเกต 4 ข้อในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติคือ 1.ต้องมีแผนระยะไม่น้อยกว่า 20 ปี ใครจะคาดการณ์ภาวะล่วงหน้าได้นานขนาดนั้น 2.องค์ประกอบของคณะกรรมการ 35 คน ที่ส่วนหนึ่งเป็นประธานสภาเกษตรกร สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สภาธุรกิจท่องเที่ยว และสมาคมธนาคาร ซึ่งอยู่กลุ่มอุตสาหกรรม แล้วอย่างกลุ่มสภาธุรกิจตลาดทุน ธุรกิจประกันภัย ฯลฯ ทำไมถึงไม่ได้เข้ามา เพราะบ่อยครั้งผลประโยชน์ของส่วนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละแห่งขัดกับแห่งอื่นๆ ดังนั้นให้ระวังพิจารณาเรื่องผลประโยชน์ให้เหมาะสม ไม่ให้เกิดภาวะกุมรัฐ 3.ต้องยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้ เพราะไม่มีทางที่จะกำหนดแผนที่ดีล่วงหน้าได้นานขนาดนั้น และ 4.ที่น่ากังวลคือการติดตาม ตรวจสอบ และการประเมินผล ซึ่งให้อำนาจกับคณะกรรมการกล่าวโทษผู้ไม่ปฏิบัติตาม ให้เลือกเลยจะยื่นเรื่องให้สภาผู้แทน หรือวุฒิสภา ส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา ซึ่งแค่ชี้มูลก็ต้องพ้นตำแหน่ง แปลว่าถ้าคณะกรรมการ วุฒิสภา และ ป.ป.ช.เห็นว่าใครต้องพ้นตำแหน่งก็จะปลดได้ ซึ่งไม่เห็นว่าเรื่องการไม่ทำตามจะไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องคอร์รัปชัน แต่กลับเอาไปให้ ป.ป.ช.ซึ่งอาจไม่ได้มีทักษะใดๆ กับเรื่องยุทธศาสตร์เป็นผู้ชี้มูล ดังนั้นผู้จัดทำต้องระวังเพราะอาจกลายเป็นดาบสองคมบาดตัวเอง แทนที่จะใช้ฟาดฟันอุปสรรคได้กลับจะทำร้ายประเทศให้สาหัสได้เลย แทนที่จะเป็นคบไฟนำทางให้ชาติ อาจกลายเป็นโซ่ตรวนล่ามชาติไปแทน

พท.ซัดวางกลไกสืบทอดอำนาจ
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ยุติธรรม แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีรัฐมนตรีเข้าไปนั่งในสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิว่า คณะกรรมการต่างๆที่ตั้งขึ้นตามโครงสร้างรัฐธรรมนูญ จะมีบทบาทต่อเนื่องไปถึงหลังการเลือกตั้ง ฉะนั้น ถ้าคนจะมองว่าตั้งคนของตัวเองเข้าไปเพื่อสืบทอดอำนาจย่อมมองได้ ส่วนตัวก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักว่าจะตั้งคนที่เหมาะสม มองประโยชน์ส่วนรวม มาคิด มาทำอย่างจริงจัง และที่หนักกว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติคือ ส.ว. 250 คน เพราะใช้อำนาจนิติบัญญัติด้วย ถือว่าสุดๆแล้ว ตรงนี้เลยกลายเป็นของที่เล็งเห็นกันได้ และรู้แต่ต้นอยู่แล้ว เพราะรัฐธรรมนูญได้เขียนกลไกให้ คสช.ยังมีบทบาทตั้งคนโน้นคนนี้ได้ ดังนั้น พูดได้เต็มปากหลังจากการเลือกตั้งแล้วก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ยังดีกว่าปัจจุบัน ดีกว่าสถานการณ์ในขณะนี้ อย่างน้อยก็ไม่มีมาตรา 44 อย่างน้อยสภาผู้แทนราษฎรไม่ทำหน้าที่อย่าง สนช. เขาคงไม่ได้เห็นด้วยทุกอย่างกับสิ่งที่รัฐบาลทำไปเรื่อย
ไม่เชื่อ “ปู” หาย คสช.ตกเป็นรอง
นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการมองว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หายตัวไปไม่มารับฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ฝ่ายผู้มีอำนาจตกเป็นรองว่า แล้วแต่จะคิด จะเอาแง่ไหนว่าเป็นรอง หรือเป็นต่อ แต่ตนมองว่า คสช.ไม่ได้เป็นรอง เพราะถ้าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ยังอยู่ เขาคงไม่ค่อยสบายใจนัก จะมีประเด็นอะไรต่ออะไรขึ้นมาตลอดเวลา แต่ถ้าไม่อยู่ ก็พูดอยู่ฝ่ายเดียวสบายใจดี อย่าคิดว่าใครเป็นต่อเป็นรองเลย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของความเห็นไป ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ต้องรอเวลา รอให้ทุกอย่างชัดเจนกว่านี้ เพราะตอนนี้พูดอะไรเป็นเรื่องเดากัน ตราบใดที่ยังไม่มีการเลือกหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ เพราะสถานการณ์การเมืองก็เปลี่ยนไปรวดเร็วมาก โรดแม็ปก็สามารถขยับได้ตลอดเวลา ส่วนการปลดล็อกทางการเมืองตนคิดว่าคงไม่ใช่เร็วๆนี้

“วัฒนา” ซัด คสช.อาจทำเจ๊ง 3 หมื่น ล.
นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ชอบทำ-ชอบธรรม” ตามที่หัวหน้า คสช. อ้างในการออกคำสั่งที่ 72/2559 สั่งปิดกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) นั้น กฎหมายปกติคือ พ.ร.บ.แร่ได้ให้อำนาจรัฐที่จะจัดการกับปัญหาดังกล่าวแล้ว ซึ่งถือเป็นความชอบธรรมที่บริษัทจะต้องปฏิบัติตาม และไม่อาจอ้างเหตุไปเรียกร้องค่าเสียหายใดๆได้ เพราะการที่บริษัทขอรับใบอนุญาตก็เท่ากับยอมรับที่จะผูกพันภายใต้กฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่การออกคำสั่งที่ 72/2559 อันเป็นสิ่งที่หัวหน้า คสช.ชอบทำ แต่ขาดความชอบธรรม เพราะนอกจากจะไม่มีความจำเป็นแล้ว ยังเป็นการลุแก่อำนาจและซ้ำซ้อนกับมาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งยังเป็นการออกคำสั่งเผด็จการที่ไม่เคยมีในข้อตกลงการประกอบธุรกิจ จึงทำให้บริษัทนำไปเป็นข้ออ้างเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ นี่คือตัวอย่างของอำนาจเผด็จการที่ละเมิดหลักนิติธรรม ขาดการตรวจสอบและไม่มีความรับผิดชอบ ผลคือประเทศชาติอาจต้องไปรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายถึง 30,000 ล้านบาท โดยคนออกคำสั่งลอยนวล แต่ประชาชนต้องรับกรรมแทน
ปชป.หวั่นยุทธศาสตร์ชาติทำปฏิวัติซ้ำ
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายบรรยง พงษ์พานิช อดีตที่ปรึกษานายกฯ ออกมาเตือนว่า ยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวเป็นดาบสองคมอาจเป็นโซ่ตรวนล่ามชาติว่า เคยเตือนแล้วการวางแผนระยะยาวตายตัวเกินไปอันตราย ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ยุทธศาสตร์ชาติต้องมาจากความเห็นคนจำนวนมากของประเทศ ถ้าเอาข้อมูลทั้งหมดมาตั้งโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะไม่ตกผลึกในเป้าหมายที่ตรงกัน และเกิดความวุ่นวาย ความขัดแย้ง นำไปสู่การรัฐประหารอีกครั้งก็เป็นได้ ความพยายามที่จะทำยุทธศาสตร์ชาติลักษณะการใช้อำนาจทหาร แม้จะบอกว่ามีคลังสมองจากหลายฝ่าย แต่เท่าที่ดูยังไม่ครอบคลุมปัญหาชาติ ควรทบทวน ฟังความรอบด้าน ปรับใจ ยั้งคิดอย่างมีสติ เพราะข้อมูลที่รัฐบาลมีอยู่ยังได้มาไม่ตรงกับการแก้ปัญหาชาติ ยกตัวรัฐบาลบอกจะมุ่งทำการเกษตร 4.0 แต่ต้นทุนทางเทคโนโลยีเรามีน้อยกว่าคนอื่นเขา จะไปเริ่มแข่งขันสู้ใครได้

“นิพิฏฐ์” โยน “เอนก” ปฏิรูปเองเต็มที่
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง บอกว่า พรรคการเมืองต้องปฏิรูปตนเอง ไม่เช่นนั้นทหารจะเข้ามาล้มพรรคการเมืองตอนไหนก็ได้ และพร้อมรับฟังความเห็นของพรรคการเมืองว่า ไม่รู้จะมีความเห็นอย่างไร ให้เขาทำไปก่อน บางทีพรรค การเมืองเสนอไปมันก็มีปัญหาอีก เพราะความเชื่อถือของฝ่ายการเมืองตอนนี้ไม่มี ให้ฝ่ายมีหน้าที่ปฏิรูปลองว่ามา ในความเห็นของเขาศึกษามาแล้ว น่าจะมีแนวทางปรองดองอย่างไร มีกี่สูตร ตำราไหนเหมาะสมกับพรรคการเมือง เมื่อถามว่า นายเอนกบอกว่ามีอำนาจบางอย่างทำให้เกิดสัญญาณการปรองดอง นายนิพิฏฐ์ตอบว่า ก็ลองไปดู อำนาจอะไรเราก็ไม่รู้ ให้เขาลองเสนอมาว่ามีสูตรอะไรบ้าง ให้ฝ่ายการเมืองเขานำไปพิจารณาดู เรื่องมีสัญญาณอะไรไม่ทราบจริงๆ
ชงเพิ่มช่อง ขรก.แจ้งเบาะแสทุจริต
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวด้วยการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาผู้ร่วมทุจริตให้จำคุกคนละหลายสิบปีว่า จากคำพิพากษาของศาลจะเห็นได้ชัดว่าการทุจริตระบายข้าวแบบจีทูจี มีนักการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้านักธุรกิจ ร่วมมือกันแบบครบวงจรในลักษณะ “ห่วงโซ่ทุจริต” ที่มีนักการเมืองเริ่มต้นคิดนโยบาย แล้ววางแผนทุจริตร่วมกับพ่อค้านักธุรกิจ พร้อมสั่งการให้ข้าราชการที่อยากได้ใคร่ดีด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง หวังอามิสสินจ้างจากการทุจริต ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ เป็นมือไม้สำคัญที่ทำให้เกิดการทุจริตแบบครบวงจรได้สำเร็จ ดังนั้น หน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐควรมีกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐเป็นพิเศษ เพื่อให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐที่พบเห็น หรือรับรู้การทุจริต มีช่องทางแจ้งเบาะแสการทุจริตเพื่อจัดการกับนักการเมือง รวมทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ที่สมรู้ร่วมคิดกันทุจริตได้อีกทางหนึ่ง และขอให้หน่วยงานด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริต ควรร่วมมือกันแสวงหามาตรการเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหานี้

“ยะใส” ให้ศึกษาบทเรียนจำนำข้าว
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต กล่าวถึงกรณีโครงการรับจำนำข้าวที่เกิดปัญหาทุจริตว่า บทเรียนจากโครงการรับจำนำข้าวที่ทำให้เกิดการทุจริตมโหฬารและสร้างความเสียหายมหาศาลถึงเวลาที่ต้องทบทวนและปรับตัว โดยเฉพาะการคิดนโยบายที่ฉวยโอกาสด้วยการเอาความยากจนและความอ่อนแอของชาวบ้านมาเป็นข้ออ้าง กอบโกยผลประโยชน์ทางการเมืองในระยะสั้นจนเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ที่สำคัญวาทกรรมช่วยคนจน ช่วยชาวนา ได้กลายเป็นแค่เครื่องมือทางการเมือง หลายทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยชาวนาให้รวยขึ้น มีแต่คนคิดนโยบายที่รวยขึ้นและกลายเป็นเศรษฐีจากวาทกรรมดังกล่าว แม้มีการจับทุจริตได้ก็ยังไม่ยอมรับและยังพยายามจับชาวนาเป็นตัวประกันทางการเมืองไปเรื่อยๆ เพื่อรอนโยบายประชานิยมแบบนี้กลับมา
“บิ๊กป้อม” เรียกถกมั่นคงตามหา “ปู”
นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เปิดเผยว่า วันที่ 4 ก.ย. เวลา 09.30 น. พล.อ.ประวิตรได้เรียกประชุมคณะทำงานหน่วยงานความมั่นคงที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประเมินสถานการณ์บ้านเมืองตามวงรอบ รวมถึงความคืบหน้าการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าว เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ซึ่งจากการตรวจสอบมีความคืบหน้าตามลำดับ ทั้งจากการสอบปากคำ ตรวจสอบกล้องวงจรปิด สอบจากพยาน และติดตามเส้นทางต่างๆ เชื่อว่าสัปดาห์นี้จะมีความคืบหน้า โดยเฉพาะเรื่องของเส้นทางการเดินทางออกไปนอกประเทศ บริเวณเส้นทางเข้า-ออกตามแนวชายแดน ถือเป็นพื้นที่ให้ความสนใจ ไปดูตั้งแต่ต้น รวมถึงเส้นทางน้ำ ทางอากาศ ที่บางฝ่ายตั้งข้อสงสัย

พบรถเข้า-ออกบ้านเยอะผิดสังเกต
นายปณิธานกล่าวว่า สำหรับเส้นทางเราดูทุกเส้น รถยนต์ที่เข้าออกบ้าน มีจำนวนหลายคันอย่างผิดสังเกต ลักษณะเหมือนต้องทำอะไรบางอย่าง เดี๋ยวเราต้องมาดูว่ารถเหล่านั้นไปที่ไหนบ้าง ซึ่งไล่จากจุดสุดท้ายที่เห็นคือที่โรงแรมเอสซีปาร์ค ไปยังบ้าน ดูจากรถเข้า-ออก สอบปากคนใกล้ชิด นายตำรวจที่ดูแลบ้านพัก นายตำรวจติดตาม ซึ่งน่าจะรู้แล้วใครหายไป ใครอยู่ เพราะเชื่อว่าไม่ได้ไปคนเดียว และการหายไปเชื่อว่ารู้กันหลายคน เมื่อหายไปรัฐบาลต้องหาตัวตามหมายจับ
กรมที่ดินโต้ “วิรัตน์” แก้ปัญหาอัลไพน์
นายประทีป กีรติเรขา อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวถึงกรณีนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การที่กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์วัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ให้แก่มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ให้ สนช.เห็นชอบ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีต รมว.มหาดไทยนั้น การเป็นที่ธรณีสงฆ์เป็น ไปโดยสภาพของที่ดิน ที่ดินใดเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้ว การโอนจะต้องตราเป็น พ.ร.บ. กรณีนี้จึงไม่อาจใช้วิธีการอื่นที่จะทำให้ที่ดินแปลงนี้พ้นจากสภาพการเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ ต้องตรา พ.ร.บ.โอนที่ธรณีสงฆ์ ส่วนกรณีที่ระบุว่าดำเนินการดังกล่าวขัดต่อเจตนารมณ์ของเจ้าของที่ดิน และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้นายยงยุทธพ้นจากความผิดได้นั้น การวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกเลิกคำสั่งของกรมที่ดินของนายยงยุทธ มีผลแต่เพียงทำให้ขั้นตอนต้องหยุดชะงักลงเท่านั้น แต่ไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพทางกฎหมายของที่ดินที่เป็นที่ธรณีสงฆ์ ผู้มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยอุทธรณ์อาจเพิกถอนคำสั่งที่ขัดต่อกฎหมายและทำคำสั่งใหม่ได้เสมอ โดยคำนึงถึงความเชื่อโดยสุจริตของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ของคำสั่งทางปกครองกับประโยชน์ของสาธารณะ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเกินควรแก่กรณี
โพลจัดอันดับคนดังโดนคดี
วันเดียวกัน “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรต่อ “ข่าวเกี่ยวกับคดีดังๆ” ณ วันนี้ จากประชาชนกลุ่มตัวอย่าง 1,219 คน สำรวจระหว่างวันที่ 29 ส.ค.-2 ก.ย. 2560 สรุปผลว่า “5 อันดับข่าว” เกี่ยวกับการดำเนินการทางกฎหมายที่ประชาชนสนใจ ร้อยละ 84.02 ออกหมายจับยิ่งลักษณ์ ไม่มาฟังคำตัดสินคดี ร้อยละ 70.78 จำคุกสรยุทธ 13 ปี 4 เดือน คดีไร่ส้มร้อยละ 69.83 จำคุก 42 ปี บุญทรง อดีต รมว.พาณิชย์ คดีทุจริตขายข้าว (จีทูจี) ร้อยละ 54.58 จำคุก 36 ปี ภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ คดีทุจริตขายข้าว (จีทูจี) และร้อยละ 52.09 จำคุก 2 ปี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เมื่อถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการทางกฎหมายต่อบุคคลที่เป็นข่าวอยู่ ร้อยละ 67.35 ขอให้ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ ร้อยละ 56.22 อย่าให้การเมืองและอำนาจรัฐแทรกแซง ร้อยละ 50.57 เป็นกรณีตัวอย่าง ทำให้นักการเมืองไม่กล้ากระทำผิด
การเมืองยังย่ำแย่ ทุจริตทุกวงการ
ต่อข้อถามว่า จากข่าวที่ปรากฏมองสภาพสังคมไทย/สถานการณ์ประเทศไทยเป็นอย่างไร ร้อยละ 64.32 เห็นว่า สังคมไทย การเมืองไทยย่ำแย่ ควรปฏิรูปอย่างจริงจัง ร้อยละ 60.41 มีการทุจริตคอร์รัปชันในทุกแวดวง ร้อยละ 57.20 กฎหมายต้องเข้มแข็ง ไม่มีช่องโหว่ ร้อยละ 47.13 มีการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง และร้อยละ 44.25 ยังมีความขัดแย้ง แตกแยก ส่วนบทเรียนที่ได้จากการดำเนินการทางกฎหมายต่อบุคคลที่เป็นข่าวอยู่นั้น ร้อยละ 68.50 ผู้ที่กระทำผิดย่อมได้รับการลงโทษ ร้อยละ 62.11 การทำงานต้องยึดหลักความซื่อสัตย์ สุจริต ร้อยละ 59.16 ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันยังไม่หมดไปจากสังคมไทย ร้อยละ 53.51 ควรปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม จิตสำนึกที่ดีให้กับเยาวชน และร้อยละ 49.10 ทุกคนทุกฝ่ายควรช่วยกันเป็นหูเป็นตาตรวจสอบ

กก.ปฏิรูปสื่อได้ฤกษ์ถกนัดแรก 5 ก.ย.
นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯจะประชุมนัดแรกในวันที่ 5 ก.ย. เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกำหนดเป้าหมายแนวทาง จะพิจารณานโยบายว่ามีเรื่องอะไรบ้าง หลักเกณฑ์วิธีการ การจัดทำแผน ห้วงเวลา ศึกษาข้อมูลการปฏิรูปที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ดำเนินการมา และในส่วนของยุทธศาสตร์ชาตินโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 มีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง จะหารือเพื่อตีกรอบรวมเป็นมิติเดียวได้อย่างไร รวมถึงดูว่ามีใครทำไว้แล้วบ้าง เพื่อนำมาศึกษาเพิ่มเติม โดยตั้งแต่เดือน ก.ย.-ธ.ค.การจัดทำแผนต้องเสร็จ และเดือน ม.ค.-เม.ย.61 จะเปิดรับฟังความคิดเห็นในแผนที่จัดทำขึ้น หลังจากเดือน เม.ย.61 ไปแล้ว เป็นการติดตามหน่วยงานที่จำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ
แจงขั้นตอนวินิจฉัย ก.ม.ลูกผู้ตรวจฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่ประธานสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่งความเห็นสมาชิก สนช. จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 263 ว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน มาตรา 56 กรณีวาระการดำรงตำแหน่ง ของผู้ตรวจการแผ่นดิน มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้นัดแถลงด้วยวาจาและลงมติในวันที่ 5 ก.ย.นั้น ตามขั้นตอนการพิจารณาทางคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน จะนำความเห็นส่วนตนที่เตรียมไว้แล้วนั้น มาแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมว่ามีความเห็นอย่างไรต่อประเด็นดังกล่าว เมื่อแถลงด้วยวาจาครบทุกคนเสร็จแล้วก็จะลงมติ นำมติที่ได้ไปจัดทำเป็นคำวินิจฉัย ไม่มีการออกนั่งบัลลังก์แต่อย่างใด

กรธ.ตั้งเพิ่ม 3 ที่ปรึกษาช่วยร่าง ก.ม.ลูก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ออกคำสั่ง กรธ. ที่ 10/2560 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษาประจำ กรธ. 3 คน ได้แก่ 1. ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส 2.นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. และ 3. นายอธิคม อินทุภูติ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ทั้งนี้สาเหตุที่นายมีชัยตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากต้องการให้เข้ามาช่วยกลั่นกรองเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญในส่วนที่ กรธ.ยังไม่ได้ส่งให้ สนช. คือ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง ส.ว. สำหรับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เบื้องต้น กรธ.ได้จัดทำไปแล้ว 50 มาตรา มีสาระสำคัญต้องการลดขั้นตอนในการทำงานของ ป.ป.ช.ที่ไม่จำเป็นออกไป โดยเฉพาะขั้นตอนการทำงานของคณะอนุกรรมการที่มีรายละเอียดในทางปฏิบัติค่อนข้างมาก
สัญญาประชาคมสัญญาใจไทยทั้งชาติ
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ประธานคณะ อนุกรรมการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เปิดเผยว่า “สัญญาประชาคมเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง” ฉบับสมบูรณ์ อยู่ระหว่างการจัดพิมพ์ และจะเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ในความตกลงของการอยู่ร่วมกัน มิให้เกิดเงื่อนไขสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้ง ที่ขยายไปสู่ความรุนแรงในอนาคต เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติสุขต่อไป หากดูสาระสำคัญของสัญญาประชาคมที่ร่วมกันกำหนด จะเห็นว่ามิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเพียงกรอบแนวทางปฏิบัติภายใต้กฎหมายที่เคยมีอยู่ในจิตสำนึกอันดีงามของชาวไทยทุกคนทั้งสิ้น ซึ่งอาจถูกบดบังหรือเลือนรางไปบ้างจากบริบทความขัดแย้งทางสังคมผ่านมา การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญสู่การปฏิรูปประเทศ จึงต้องการพลังแห่งความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ต้องการพลังความร่วมมือและการมีส่วนร่วมกันอย่างมาก สัญญาประชาคมจึงเป็นสัญญาใจไทยทั้งชาติ ที่กำลังรอคอยความร่วมมือจากทุกคน ตามบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ในการนำพาประเทศไทยขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไป
กระตุก คสช.อย่าทำลายนักวิชาการ
ที่ห้องประชุม คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) นำโดยนายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาฯ มธ. ร่วมกันแถลงคัดค้าน กรณีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงดำเนินคดี 5 นักวิชาการ ในข้อหาชุมนุมเกิน 5 คน ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 จากการชูป้าย “เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร” ในงานประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษา ครั้งที่ 13 ที่ จ.เชียงใหม่ นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกนนำกลุ่ม คนส.ระบุว่า หลังเหตุการณ์นี้ทำให้มีปฏิกิริยาจากองค์กรวิชาการต่างประเทศ ร่วมออกแถลงการณ์คัดค้านมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ยังกระทบสถานะทางวิชาการของไทยที่จะไม่สามารถเป็นเจ้าภาพประชุมวิชาการใดๆได้อีก เพราะไม่อาจรับรองเสรีภาพของนักวิชาการที่มาเสนอผลงาน ดังนั้นไม่ปิดประเทศก็เหมือนปิด ทำให้สถานะด้านสิทธิเสรีภาพของไทยดูตกต่ำลงมาก หาก คสช.ยังคงดำเนินคดีกับนักวิชาการ ทั้ง 5 คนต่อไป จะไม่เกิดผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
ฮิวแมนไรท์แอนตี้ คสช.ใช้ ม.116
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดงานราชดำเนินเสวนา “ปลุกข้อหา มาตรา 116 อุปสรรค ต่อการปฏิรูปประเทศ?” โดยนายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลและ คสช. ใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ตามอำเภอใจ พร่ำเพรื่อ ชี้มูลความผิดและนำเข้าสู่กระบวนการใช้กฎหมาย ทำให้องคาพยพอื่นๆ ที่บังคับใช้กฎหมาย ไม่กล้าคัดค้าน คสช. โดยพบว่าคดีความผิดตามมาตรา 116 เพิ่มพูนในช่วง คสช.ปกครองประเทศ ประมาณ 24 คดี ผู้ถูกกล่าวหา 66 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่วิจารณ์ คสช. มีเกือบ 20 คดี ที่เหลือเป็นการปล่อยข่าวลือวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ นำมาสู่บรรยากาศความหวาดกลัว เพราะอาจติดคุกได้ถึง 7 ปี รวมทั้งต้องขึ้นศาลทหาร ซึ่งฮิวแมนไรท์วอทช์คิดว่ามาตรา 116 ถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องปรามเพื่อหวังผลทางการเมือง มีผลกระทบต่อการปฏิรูปประเทศ นอกจากนี้ คสช.ควรยกเลิกคำสั่งที่ 97, 103 และ 108 รวมสามฉบับ เพื่อสร้างบรรยากาศการเปลี่ยนผ่านที่ดีและเกิดภาพบวก เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเคยประกาศเมื่อปลายปีก่อนว่า พลเรือนเลิกขึ้นศาลทหาร จะเป็นพัฒนาการในทางที่ดี

ปชป.ชี้เป็นเครื่องมือรัฐเตะตัดขา
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความผิดตามมาตรา 116 มีช่องทางสู้คดีได้มากมาย เชื่อว่าหากศาลจะตัดสินคดีตามมาตรา 116 จะยากมาก เพราะไม่รู้จะสืบคดีอย่างไรให้เข้าองค์ประกอบความผิดว่ามีความไม่สงบ ทั้งนี้เชื่อว่ารัฐบาลไหนก็ไม่อยากทะเลาะกับสื่อมวลชน แต่สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์บ้านเมือง ตั้งแต่วาทะที่ว่าสื่อเลือกข้าง การบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร รัฐบาลก็อยากไปบล็อกสิ่งเหล่านี้ จึงพยายามหาเครื่องมือจนมาเจอมาตรา 116 ซึ่งนัยของรัฐบาลคือป้องปราม แต่ผู้ถูกกระทำก็ไม่สนุก ตนเชื่อว่าการสืบตามมาตรานี้เป็นไปไม่ได้เลย แต่ต้องยอมรับว่าสื่อเลือกข้างก็มี รัฐจึงต้องหาวิธีทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามาตรานี้ไปไม่ถึงเป้าหมาย ยังถือว่าสบายใจได้
“เสรี” ยันจำเป็นต่อความมั่นคง
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม กล่าวว่า มาตรา 116 ไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นมาในยุค คสช. แต่มีมาตั้งแต่ปี 2499 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองปกป้องความมั่นคงของชาติ มักถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอเมื่อมีการต่อต้านหรือคัดค้านภาครัฐ อีกส่วนจะมีนัยทางการเมือง จะนำมาใช้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ปกป้องให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ยังควบคุมได้ อาจจะมีผลกระทบกับผู้ที่คัดค้านทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งการปฏิรูปประเทศต้องอยู่ในสภาวะที่บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ถ้ายังแตกแยกบ้านเมืองไม่สงบ ย่อมเป็นอุปสรรค อย่างไรก็ตาม การควบคุมความสงบตามมาตรา 166 ก็อยู่ในสถานะได้ระยะหนึ่งเท่านั้น และตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจนในผลคดี ตนคิดว่ามาตรานี้ทำให้คนกลัว แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าคนที่เสนอความเห็นทางการเมือง และถูกดำเนิน คดีจะไม่ถูกลงโทษ แต่ผู้นั้นอาจจะหงุดหงิดหรือรำคาญใจเท่านั้น

นายกฯปลื้มวิจัยมะม่วงต้านมะเร็ง
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการวิจัยและนวัตกรรม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ชื่นชมนักวิจัยไทยที่ประยุกต์ใช้ความรู้ต่อยอดสร้างนวัตกรรมแก่สังคม เช่น กรณีของ ผศ.ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ได้ริเริ่มงานวิจัยเกี่ยวกับมะม่วงมหาชนกจนพบว่ามีคุณสมบัติต้านโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด รวมถึงโรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตันในสมอง โรคต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม ทั้งยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมะม่วงมหาชนกให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และได้ให้มหาวิทยาลัยถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งผู้สนใจ โดยรัฐบาลได้ออกมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 300 เพื่อให้ภาคเอกชนนำค่าใช้จ่ายจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปขอยกเว้นภาษีได้สูงสุด 3 เท่าของที่จ่ายจริง
วางเป้าปี 61 เอสเอ็มอีออนไลน์ 210 ล.
นางสาลินี วังตาล ผอ.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรืออีทีดีเอ แถลงความสำเร็จโครงการส่งเสริมพัฒนาตลาดอิเล็กทรอนิกส์เอสเอ็มอี หรือเอสเอ็มอี โก ออนไลน์ ปี 60 ในกิจกรรมพัฒนาและเตรียมความพร้อมผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน นำสินค้าและบริการทั่วประเทศ กว่า 75,000 ผลิตภัณฑ์ จากทุกภาคทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ โดย สสว.ตั้งเป้าให้ได้ 100,000 ผลิตภัณฑ์ ภายในเดือน ก.ย. ในจำนวนนี้มีสินค้าขึ้นขายในตลาดอิเล็กทรอนิกส์แล้ว 44,108 ผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกี่ยวกับอาหาร ด้านนางสุรางคณา วายุภาพ ผอ.อีทีดีเอ กล่าวว่า เป็นความร่วมมือเพื่อยกระดับความรู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอทอป บ่มเพาะผู้ประกอบการ ตั้งเป้ามูลค่าการซื้อการขายในปี 2561 ไว้ที่ 210 ล้านบาท