'เพื่อไทย'ดาหน้าสับเละ กรธ.แยกเบอร์รายเขต
กรธ.ย้ำเจตนาแยกเบอร์รายเขตสกัดซื้อเสียง-ผู้สมัครคุณภาพห่วย ทั้งยังให้ประชาชนตื่นตัวทำการบ้านก่อนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ชี้แยกพิมพ์บัตรไม่ใช่ปัญหา สวน กกต.คิดแต่เอาง่ายเข้าว่า สนช.แบะท่ารับลูก เตรียมดันผ่านมติ สนช. “นิพิฏฐ์” สับ กรธ.ตรรกะย้อนแย้ง ทำพรรคการเมืองอ่อนแอแตกแยก พท.แฉจ้องตัดตอนลดเก้าอี้ ส.ส.พรรคใหญ่ ชี้ข้อเสียเกิดระบบซื้อตัว ส.ส. กลุ่มต้าน คสช.รณรงค์แก้ รธน.60 ปิดช่อง ม.44 แทรกแซง โพลชี้ 1 ปี รธน.60 บ้านเมืองกระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ เห็นด้วย คสช.ยังไม่ปลดล็อกการเมือง สตง.ลุยตรวจสอบ อปท.แปรงบเชียร์ “ปู” ทร.แจงซื้อขีปนาวุธ “ฮาร์พูน” โปร่งใสตามวงรอบ
ยังเป็นประเด็นถกเถียงทางการเมือง กรณีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสนอแนวคิดกำหนดให้แยกเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคการเมืองเป็นรายเขต แทนการใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ แม้จะมีผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนว่าไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว แต่ กรธ.ก็ยังคงยืนกรานว่าระบบดังกล่าวมีข้อดีในการป้องกันการทุจริตซื้อเสียง
กรธ.ย้ำเจตนาแยกเบอร์ป้องทุจริต
เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีฝ่ายการเมืองอ้างผลสำรวจของสวนดุสิตโพลว่า ประชาชนเสียงส่วนใหญ่คัดค้านข้อเสนอของ กรธ. ที่จะกำหนดให้ผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.เป็นแบบต่างเขตต่างเบอร์ แม้พรรคเดียวกัน แทนแบบเขตเดียวเบอร์เดียวว่า ขอให้ทำความเข้าใจในผลสำรวจโพลโดยถี่ถ้วน อย่ายกเอาแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะในผลสำรวจยังสะท้อนความเห็นประชาชนส่วนใหญ่เช่นกันว่า เป็นห่วงการทุจริตเลือกตั้งเหมือนกัน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักที่ กรธ.เราเสนอให้ใช้แบบต่างเขตต่างเบอร์ เพื่อสกัดการซื้อเสียง พรรคการเมืองลงทุนครั้งเดียวแค่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศจดจำแค่เบอร์ของพรรคแล้วมาเลือกคน มันง่ายเกินไป มันลงทุนแค่ครั้งเดียวเข้าเป้าเลย ขอให้ดูเจตนาหลักของเราด้วยว่าตั้งใจที่จะป้องกันการทุจริต ไม่ใช่พรรคจะเอาเสาโทรเลข เอาคนแบบไหนมาลงก็ได้
...
หวังให้คนทำการบ้านก่อนใช้สิทธิ
นายอุดมกล่าวว่า กรธ.อยากเห็นระบบการเลือกตั้งที่สร้างความรับผิดชอบให้ประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำการบ้านก่อนไปใช้สิทธิ คือ ดูทั้งนโยบายพรรคการเมือง และการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นตัวแทนพรรคดีพอหรือไม่ เราจึงออกแบบให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว และ กรธ.ก็ยังไม่เคาะสรุปว่าจะใช้แบบเขตเดียวเบอร์เดียว หรือต่างเขตต่างเบอร์ อาจจะพิมพ์บัตรเลือกตั้งที่มีชื่อ นามสกุลและโลโก้พรรคก็ได้ ขณะนี้อยู่ในช่วงรับฟังความคิดเห็น สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ที่สุด แก้ไขปัญหาหลักๆได้ ก็เอาสิ่งนั้น
แยกพิมพ์บัตรเลือกตั้งไม่ใช่ปัญหา
เมื่อถามว่า กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุว่า หากใช้แบบต่างเขตต่างเบอร์ แม้ลงสมัครพรรคเดียวกันจะสร้างความสับสนและอาจมีการพิมพ์บัตรเลือกตั้งปลอม เพราะต้องแยกพิมพ์ทั้ง 350 เขตเลือกตั้ง โดยให้โรงพิมพ์ในจังหวัดนั้นๆพิมพ์ไม่มีลายน้ำหรือรหัสลับที่ กกต.เคยจัดพิมพ์จากส่วนกลาง นายอุดมตอบว่า ข้อกล่าวอ้างเรื่องสร้างความสับสนให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะทุกหน่วยเลือกตั้ง ที่ด้านหน้าก่อนเข้าไปในคูหาใช้สิทธิ จะมีป้ายประชาสัมพันธ์ติดรายชื่อของผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนในเขตเลือกตั้งนั้นๆ พร้อมชื่อพรรคที่สังกัด ทุกอย่างชัดเจน จะสับสนได้อย่างไร ไม่ยุ่งยากอย่างที่เขาพยายามพูดกันให้เป็นกระแส ส่วนเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ปัจจุบันเทคโนโลยีการพิมพ์มีความทันสมัย ไม่ว่าจะพิมพ์ที่ส่วนกลางหรือภูมิภาค ขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างว่าจะออกแบบบัตรเลือกตั้งให้มีหน้าตาอย่างไร เราถึงกำหนดให้มีใบเดียว ที่สำคัญผู้สมัคร ส.ส.แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนไม่เท่ากัน สามารถออกแบบได้ จะใส่ลายน้ำหรือรหัสลับก็สามารถทำได้เพื่อป้องกันการทุจริต
อัด กกต.คิดแต่เอาง่ายเข้าว่า
“การที่ กกต.ระบุเช่นนั้น อาจเพราะใช้ตามความเคยชินที่เคยทำมาคือเขตเดียว เบอร์เดียว จำง่าย เอาง่ายเข้าว่ารณรงค์แค่ให้ชาวบ้านจำตัวเลข ไม่สนใจนโยบายหรือตรวจสอบประวัติผู้สมัคร ซึ่ง กรธ.อยากให้ประชาชนเจ้าของสิทธิทำการบ้านดูทั้งนโยบาย ที่มาของงบประมาณจะใช้ ความเป็นไปได้ ความรับผิดชอบทั้งคนและพรรค เราจึงออกแบบมาเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ยังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน กรธ.ยืนยันว่ารับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย” นายอุดมกล่าว
แย้มดันแยกเบอร์รายเขตผ่าน สนช.
นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า นักการเมืองอย่าไปกังวลแทนประชาชนเกินเหตุ มั่นใจว่าประชาชนไม่สับสน และปรับตัวเข้าหากติกาใหม่ได้เร็วกว่านักการเมือง ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องการเลือกใคร ถ้าไปยึดกติกาเดิมๆ จะมาปฏิรูปทำไม ขอให้นักการเมืองไปปฏิรูปตัวเองให้มากๆ ว่าจะหาเสียงอย่างไรดีกว่า แม้ผลโพลจะระบุว่าไม่เห็นด้วยกับระบบต่างเขตต่างเบอร์ ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นความเห็น ต่างที่ สนช.พร้อมรับฟัง เชื่อว่า สนช.คงไม่ได้คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมากมาย แต่อาจมีสมาชิกบางส่วน เป็นห่วงว่าอาจทำให้ชาวบ้านเกิดความสับสนได้ แต่มั่นใจว่าจะทำความเข้าใจกันได้

“นิพิฏฐ์” สับ กรธ.เขียน ก.ม.ย้อนแย้ง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีผลสำรวจของสวนดุสิตโพลระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านข้อเสนอของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่จะกำหนดในกฎหมายให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบต่างเบอร์ต่างเขตแม้อยู่พรรคเดียวกันแทนแบบเดิมเบอร์เดียวทั่วประเทศว่า กังวลจะสร้างความสับสนให้กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งจะทำให้พรรคการเมืองหาเสียงยาก เช่น กรณีหัวหน้าพรรค การเมืองไปปราศรัย หรือขึ้นเวทีดีเบตแต่ละพื้นที่ สื่อมาลงข่าวต่างเขตก็ต่างเบอร์ ชาวบ้านจะสับสนไปกันใหญ่ เมื่อประเทศไทยเราเลือกที่จะกำหนดให้ผู้สมัครลงเลือกตั้งจะต้องสังกัดพรรคการเมือง ไม่สามารถลงสมัครแบบอิสระได้ แสดงถึงแนวคิดของระบบแล้วว่าจะเน้นสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมือง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ไม่ใช่สร้างความเข้มแข็งโดยยึดตัวบุคคลเป็นหลัก แต่การร่างกฎหมายของกรธ.ในกรณีนี้ถือเป็นการร่างกฎหมายที่ย้อนแย้ง หรือขัดแย้งในต้วเอง
ทำพรรคการเมืองอ่อนแอแตกแยก
“การออกแบบโดยการร่างกฎหมายเช่นนี้ เป็นการบั่นทอนหรือทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลงจากเดิม โดยมุ่งสร้างความสำคัญให้ตัวบุคคลซ้ำยังสร้างความแตกแยกภายในพรรค ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบ เมื่อพรรคการเมืองไม่เข้มแข็ง ประชาธิปไตยของชาติเราก็ไม่เข้มแข็ง ผมอยากฟัง คำชี้แจงของ กรธ.เช่นกันว่า เมื่อผลโพลสะท้อนความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ว่าไม่เอากับแนวคิดนี้ของ กรธ.เขาจะชี้แจงสังคมอย่างไร ทำไมไม่ยึดเอาความสะดวกและความเข้าใจ รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหลัก ที่บอกว่าจะเอาแบบเดิมคือเขตเดียว เบอร์เดียว เพราะไม่มีหลักประกันใดๆ จะรับรองได้ว่าระบบที่ กรธ.เลือก จะสามารถป้องกันการทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้งได้ดีกว่าแบบเดิม ไม่ใช่ปากบอกว่ารับฟัง แต่ปักธงล่วงหน้าไว้แล้วว่า หัดเป็นคนแพ้บ้าง ไม่ใช่ชนะทุกครั้ง ที่สุดมันจะเป็นเผด็จการจนเกินไปจะมีผลเสียหายตามมา” นายนิพิฏฐ์กล่าว
วอนสั่งสอนเผด็จการทางความคิด
นายนิพิฏฐ์กล่าวด้วยว่า จะไม่เสนอความคิดเห็นใดๆต่อ กรธ.แล้ว เพราะเขาตั้งธงมาอย่างนี้ แล้ว จะร่างกติกาออกมาอย่างไรก็ขอให้ออกมา แต่อย่าให้ถึงขนาดกำหนดให้ต้องตีลังกาเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ขอฝากถึง กรธ.ว่า ถ้าท่านออกแบบกฎหมายมาดีก็จะได้รับการจารึกชื่อในแผ่นทองคำ แต่ถ้าออกแบบมาแล้วยังล้มเหลวก็ไม่รู้ว่าจะจารึกชื่อไว้ที่ไหน เพราะอาจมีการชำระประวัติศาสตร์ในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นห่วง กรธ.หลายคนที่เป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย หากยังยึดอัตตา ยึดแนวคิดตัวเองเป็นหลัก เมื่อพ้นหน้าที่ กรธ.ไปแล้ว อาจติดนิสัยใส่ชุดลายพราง สวมท็อปบูตไปสอนหนังสือเด็ก ดังนั้น เมื่ออยู่ในอำนาจก็อย่าเสพติดอำนาจ อยากให้มหาวิทยาลัยและนักศึกษาบอยคอตคนเหล่านี้ เพื่อสร้างบทเรียนให้คนที่เป็นเผด็จการทางความคิด ไม่รับฟังเสียงส่วนใหญ่ของสังคม
พท.แฉเกมลดเก้าอี้ ส.ส.พรรคใหญ่
นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อเสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ของ กรธ.ที่กำหนดให้แยกเบอร์ผู้สมัครพรรคเดียวกันเป็นรายเขตว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้หวั่นไหวกับประเด็นดังกล่าว แต่การจะให้ประชาชนเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งควรมีวิธีการง่ายๆ ไม่ใช่หาวิธียุ่งยากซับซ้อน อาจทำให้ประชาชนสับสน กกต.ทำงานลำบาก มองว่ามีเป้าหมายแฝงเพื่อต้องการลดที่นั่ง ส.ส.พรรคขนาดใหญ่ ระบบนี้หมายเลขพรรคจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปในการเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนหันไปมองตัวบุคคลมากขึ้น ดังนั้น ใครเป็นคนมีชื่อเสียงจะได้เปรียบ อาจเป็นช่องทางให้เกิดการซื้อตัว ส.ส.ข้ามพรรคมากขึ้น ตัวผู้สมัครดังๆของพรรคเพื่อไทยอาจถูกซื้อตัวไปก็ได้ ไม่เข้าใจว่าจะแก้ไขกติกาให้เกิดความยุ่งยากเพื่ออะไร ถ้าแก้กติกาแล้วยังแพ้เลือกตั้งอีก สมัยหน้าจะเปลี่ยนกลับมาใช้รูปแบบเดิมหรือไม่ หรือจะต้องแก้กติกาทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง

“ยะใส” บอกระบบท้าทายน่าลอง
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ กรธ.กำหนดระบบแยกเบอร์รายเขต อาจทำให้ประชาชนสับสนบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องท้าทายทั้งผู้สมัครและผู้สนับสนุนต้องแข่งหาเสียงแนะนำตัว สร้างผลงานให้ประชาชนจำชื่อได้ ส่วนที่บางคนมองว่าระบบเบอร์ผู้สมัครต่างกันตามแต่ละเขตจะทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ คนจะอยู่เหนือพรรค และทำให้พรรคพัฒนาเป็นสถาบันไม่ได้นั้น ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะระบบการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ชั้นต้นของพรรคการเมือง หรือ ไพรมารีโหวตจะถ่วงดุลความนิยมของคนมากกว่าของพรรค ขึ้นอยู่กับว่าระบบ
ไพรมารีโหวตจะมีประสิทธิภาพแค่ไหนด้วย ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ที่เสนอให้พิมพ์ชื่อผู้สมัครและโลโก้พรรคลงในบัตรเลือกตั้ง เพราะที่ผ่านมาบางครั้งผู้สมัครเกาะกระแสพรรคทั้งที่ไร้ผลงานในพื้นที่ ประชาชนจำใจเลือกก็มี เช่น ภาคใต้เปรียบกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ชนะ หรือในภาคอีสานแค่ถ่ายรูปกับนายทักษิณ ชินวัตร ติดป้ายหาเสียงก็ชนะในบางเขตก็มี
แกนนำต้าน คสช.ปลุกคนแก้ รธน.60
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ห้องประกอบหุตะสิงห์ อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย นำโดยนายรังสิมันต์ โรม นักศึกษาปริญญาโท นิติศาสตร์ มธ. จัดเสวนาเรื่อง “เหลียวหลังแลหน้าประเทศไทย 1 ปี หลังประชามติ” นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. แกนนำนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวว่า ทุกวันนี้รัฐธรรมนูญ 60 ที่ใช้อยู่ได้ถูกแก้ไขบางจุดก่อนมีการประกาศใช้ และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่แม้จะมีรัฐธรรมนูญถาวรแล้ว แต่ยังมีอำนาจคณะรัฐประหารมาหลอกหลอน ทางเดียวคือต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ 60 รณรงค์ให้เห็นความอัปลักษณ์ ประชาชนต้องพิสูจน์ในศาลว่าสิทธิเสรีภาพที่กำหนดในรัฐธรรมนูญนั้นมีจริงหรือไม่ เข้าชื่อแก้ประกาศ คสช. หรือเข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญ 60 ในบางมาตรา โดยเฉพาะ ม.265 และ 279 ที่เปิดให้หัวหน้า คสช.มีอำนาจใช้ ม.44 ถ้ามีการเลือกตั้ง ต้องให้พรรคการเมืองที่เข้ามาชูนโยบายเลิกรัฐธรรมนูญ 60 ถ้าไม่สำเร็จ ไม่เป็นไร ทำสัก 10 ครั้ง ให้คนเห็นเองว่าติดขัดเพราะอะไร สุดท้าย คือต้องทำแคมเปญให้คนเห็นว่าถึงทางตันแล้วต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนไปออกเสียงประชามติว่าจะให้ยกเลิกเพื่อทำฉบับใหม่หรือไม่ เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆมาแล้ว ถือเป็นวิธีที่สันติที่สุด
รณรงค์แคมเปญ–จับ คสช.เข้าคุก
นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า 1 ปีผ่านมาหลังการออกเสียงประชามติ สิ่งที่เหลือคือผู้ถูกดำเนินคดีจากการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 60 กว่า 200 คน ในฐานะเป็นหนึ่งในผู้ถูกดำเนินคดีมองว่า รัฐธรรมนูญ 60 ถูกแก้ไขหลังประชามติผ่านไปแล้ว ถือเป็นทำลายเจตจำนงประชาชนที่ไปออกเสียง อีกทั้ง 4 เดือนหลังมีผลบังคับใช้ หลายคนที่เห็นต่างกับ คสช.ยังถูกจับกุมคุมขัง อนาคตรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้ง จะถูกควบคุมโดยกลไกของ คสช.ที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ 60 จึงเชิญชวนผู้เห็นต่างร่วมทำเป็นแคมเปญเข้าชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 อีกครั้ง โดยเฉพาะข้อกำหนดที่ให้การรัฐประหารที่ผ่านมาไม่มีความผิด เพื่อเอา คสช.ไปเข้าคุก ไม่ให้มีการรัฐประหารอีก
โพลระบุบ้านเมืองดีขึ้นเรื่อยๆ
วันเดียวกัน กรุงเทพโพล โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน หัวข้อ “ทิศทางการเมืองไทยหลังครบ 1 ปีประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,217 คน ร้อยละ 53.0 เห็นว่าการเมืองไทยขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ร้อยละ 20.3 ระบุยังไม่เห็นการขับเคลื่อนใดๆ และร้อยละ 19.2 เห็นว่าการเมืองไทยถอยกลับสู่จุดความขัดแย้งเดิมๆ เมื่อถามว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะสามารถจัดทำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จตามโรดแม็ปที่กำหนดไว้หรือได้ไม่ ร้อยละ 45.3 ระบุว่าไม่น่าจะทัน ต้องขยายระยะเวลาการเลือกตั้งออกไป ขณะที่ร้อยละ 34.1 ระบุว่าน่าจะทันและจัดเลือกตั้งได้ตามกำหนด เมื่อถามว่า หากมีการเลือกตั้งจะออกไปใช้สิทธิ์หรือไม่ ร้อยละ 95.9 ระบุว่าจะออกไปใช้สิทธิ์แน่นอน มีเพียงร้อยละ 0.8 เท่านั้นที่ระบุว่าจะไม่ออกไปใช้สิทธิ์
คล้อยตาม คสช.ไม่ถึงเวลาปลดล็อก
ขณะที่สวนดุสิตโพล โดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็น “ประชาชนคิดอย่างไร? กรณีรัฐบาลยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,143 คน ระหว่างวันที่ 9-12 ส.ค. ส่วนใหญ่ร้อยละ 65.88 ระบุว่าอาจทำให้พรรคการเมืองออกมาเคลื่อนไหวกดดัน เรียกร้องขอความยุติธรรม ร้อยละ 61.42 ระบุควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ ถ้าปลดล็อกในช่วงนี้อาจมีปัญหาตามมาอีกมาก ร้อยละ 58.99 ระบุควรให้อิสระพรรคการเมืองได้เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ร้อยละ 52.29 ระบุทุกฝ่ายควรให้ความร่วมมือ เพื่อความสงบของบ้านเมือง และร้อยละ 49.32 ระบุไม่น่าจะมีผลกระทบอะไร บ้านเมืองยังอยู่ในการควบคุมดูแลของ คสช. เมื่อถามว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 60.89 ระบุเห็นด้วย ขณะที่ร้อยละ 39.11 ไม่เห็นด้วย
พท.ซัดมโนชาติสงบชี้แค่ถูกกดทับ
นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม แกนนำ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ คสช.และรัฐบาล ยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมืองทำกิจกรรม อ้างเหตุผลเรื่องของความสงบภายในชาติ ถ้าดูที่ผ่านมาความสงบเรียบร้อยไม่มีทางที่จะดีขึ้น เพียงแต่อยู่ภายใต้อำนาจกดไว้ เหลือเวลาอีกไม่นานจะเลือกตั้งแล้วยังทะเลาะกันอยู่เลย ถามว่าสิ่งที่ปฏิบัติมาทั้งหลายก่อให้เกิดความปรองดองหรือไม่ มีแต่ก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานกันมากขึ้น แต่ไม่เป็นไรถ้าบ้านเมืองยังเป็นอย่างนี้ก็อยู่กันไป เพราะยังมองไม่เห็นว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบอย่างจริงจัง และอยู่กันแบบประชาธิปไตยในสากล ที่ไม่ใช่อะไรก็ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ว่าด้วยคนหนึ่งคิดใหญ่ อีกคนหนึ่งคิดอย่าง ที่พูดแล้วฟังก็ว่ากันไป พูดแล้วไม่ฟังก็ทะเลาะกันไป ซึ่งดูเหมือนตั้งใจให้มันดี แต่ว่าหลักการเพี้ยนอย่างไรไม่รู้
“องอาจ” เชียร์ จนท.รัฐเผยทรัพย์สิน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกคนแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เพราะเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในแวดวงราชการ โดยการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการควรทำตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเข้าทำงาน และควรแสดงทุกๆ 4-5 ปี เพื่อให้เห็นว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น หรือลดลงมากน้อยแค่ไหนอย่างไร กรณีที่ถูกร้องเรียนว่าข้าราชการคนใดร่ำรวยผิดปกติ จะได้นำข้อมูลที่แจ้งไว้มาตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐถือเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ทุจริตที่สำคัญ 3 ฝ่ายคือ 1.ฝ่ายการเมือง 2.ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ 3.ฝ่ายนักธุรกิจเอกชน เมื่อฝ่ายข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ถูกตรวจสอบมากขึ้น ก็จะทำให้การทุจริตคอร์รัปชันยากมากขึ้นตามไปด้วย จะช่วยทำให้การทุจริตเบาบางลงตามสมควร จึงขอฝากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เร่งดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เสริมสร้างมาตรการขจัดการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยให้ได้ผลมากกว่าเดิม

จับปมพิรุธรวบรัดเอาผิดจำนำข้าว
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกต 2 ประการที่อาจกระทบต่อความยุติธรรมในคดีจำนำข้าวคือ 1.กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสระแก้ว จับกุมรถพ่วงบรรทุกข้าวหอมปทุมธานี 7 คันรถ เมื่อ 26 ก.ค.60 ตั้งข้อหาผู้ขนย้ายว่า สำแดงเท็จขนข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่มีใบอนุญาตขนข้าวข้ามเขต ซึ่ง ผวจ.สระแก้วตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้พาณิชย์จังหวัดรายงานผลให้ทราบใน 7 วัน ขณะนี้ล่วงเลยมากว่า 15 วัน กระทรวงพาณิชย์ยังไม่เปิดเผยผลการตรวจสอบ ส่อพิรุธว่ามีการนำข้าวดีจากการประมูลเป็นอาหารสัตว์ไปแปรสภาพที่โรงสี ใน จ.ฉะเชิงเทราตามรายงานข่าวหรือไม่ 2.การที่ภาคเอกชนผู้ดูแลโกดังข้าว จ.อ่างทอง ร้องขอความเป็นธรรมหลายหน่วยงานว่า ข้าวที่ดูแลเป็นข้าวคุณภาพดี ไม่ควรไปประมูลเป็นข้าวคุณภาพต่ำสำหรับทำอาหารสัตว์ แต่ถูกปฏิเสธไม่ให้ตรวจสอบคุณภาพข้าว เป็นข้อพิรุธว่ามีการดำเนินการไม่โปร่งใสหรือไม่ ทั้งนี้ หากนำข้าวคุณภาพดีไปขายในราคาข้าวคุณภาพต่ำ จะทำให้ข้อเท็จจริงการตรวจสอบความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวผิดเพี้ยนหรือไม่ และย่อมกระทบความยุติธรรมคดีจำนำข้าวทั้งคดีอาญาและคดีละเมิดหรือไม่ เพราะเป็นการสร้างความเสียหายแล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดข้าราชการเรียกร้องให้ใช้มาตรา 44 คุ้มครอง เพราะเร่งรีบรวบรัดในการคิดค่าเสียหายคดีจำนำข้าวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่
สตง.ไล่ล่าใช้งบ อปท.เชียร์ “ปู”
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวถึงกรณีที่ สตง.ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบการใช้งบประมาณขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อ้างว่าพบการใช้งบประมาณมาเป็นค่าใช้จ่ายนำประชาชนมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หน้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า การทำหนังสือไปดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องปราม เนื่องจากพบมีคนโวยวายผ่านทางเฟซบุ๊กว่า มีการหลอกแม่เขาจะพาไปกราบพระบรมศพ ร.9 แต่สุดท้ายพาไปอยู่หน้าศาล ถ้าแม่ติดคุกขึ้นมาจะทำอย่างไร ทาง สตง.จึงได้ตามตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ เพราะถ้าพบมีการทำจริงเชื่อว่าเจอแน่ ถือเป็นการใช้งบฯไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ขอไว้ ใช้จ่ายเงินโดยไม่ชอบ ใช้หลักฐานเท็จต้องถูกดำเนินคดี กำลังสอบว่าเป็นท้องถิ่นไหน และมีท้องถิ่นอื่นทำลักษณะเช่นนี้ด้วยหรือไม่ ขณะเดียวกัน จากการประสานไปยังกระทรวงกลาโหม ได้มีการสั่งการให้ความมั่นคงในพื้นที่เฝ้าระวังแล้ว
ทร.แจงซื้อขีปนาวุธฮาร์พูน
ส่วนกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า รัฐบาลไทยได้ยื่นความจำนงขอซื้อขีปนาวุธฮาร์พูน บล็อค ทูว์ รุ่น อาร์จีเอ็ม-84 จำนวน 5 ลูก มูลค่า 24.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 828 ล้านบาทนั้น พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ หัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า เป็นการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ตามโครงการต่อเรือฟริเกต ตั้งแต่ปี 2557 ที่เราลงนามข้อตกลงกับประเทศเกาหลีใต้ ในการต่อเรือหลวงท่าจีน โดยจะมีแพ็กเกจต่อระบบเรือ ระบบเครื่องจักร เครื่องยนต์ ระบบการรบ อาวุธต่างๆ ก็มีกำหนดไว้แล้วว่าดำเนินการเสร็จถึงไหน จะจัดซื้ออาวุธมาต่อเติมช่วงใด การซื้อฮาร์พูนก็เป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่ถึงเวลาต้องจัดซื้อมาใช้บนเรือหลวงท่าจีน ดังนั้น ขอย้ำว่าการจัดซื้ออาวุธเป็นไปตามวงรอบในการดำเนินการตามวงเงิน และเป็นขั้นตอนทางธุรการเท่านั้น ถ้าซื้อฮาร์พูนมาในช่วงเวลาต่อเรือมาก่อนเลย ก็คงไม่ใช่ ถ้าซื้อมาก็เอามากองทิ้ง
โปร่งใส–ดำเนินการตามวงรอบ
“ขอให้เข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายกฯ กับรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่าจะจัดซื้อเข้ามาใหม่แต่อย่างใด การจัดซื้ออาวุธชนิดนี้อยู่ในแพ็กเกจการต่อเรือหลวงท่าจีน และอยู่ในสัญญามาตั้งแต่ต้น เพียงแต่กระบวนการจัดหาอาวุธของสหรัฐฯ หากจะขายอาวุธใครต้องเป็นไปตามกฎหมายของสหรัฐฯ และต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของเขาเท่านั้นเอง การซื้อฮาร์พูน เราเคยจัดซื้อมาตั้งนานแล้ว เอามาใช้ในเรือหลวงรัตนโกสินทร์ เรือหลวงสุโขทัย ซึ่งมีมาตลอดชุดนี้เป็นชุดที่สาม ต่อไปก็จะมีชุดที่ 4 เอามาติดตั้งเพิ่มในเรือหลวงตรัง ดังนั้นผมขอย้ำว่าการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กองทัพเรือมีความโปร่งใสและเป็นไปตามวงรอบ เรียกง่ายๆว่าจัดซื้อเป็นแพ็กเกจในการจัดหาตามช่วงเวลาเท่านั้นเอง” โฆษกกองทัพเรือกล่าว

นายกฯปลื้มต่างชาติสรรเสริญไทย
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีที่สำนักข่าวต่างประเทศ เช่น สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ และสำนักข่าวเอบีซี สหรัฐอเมริกา รายงานข่าวคุณยายกิมหลั่น จินากุล อายุ 91 ปี จากจังหวัดพะเยา เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาพัฒนาการมนุษย์และครอบครัว มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หลังจากใช้เวลาศึกษากว่า 10 ปี โดยมีชาวต่างชาติจำนวนมากเข้าไปแสดงความเห็นชื่นชมประเทศไทยที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชนทุกวัย นายกฯชื่นชมคุณยายกิมหลั่นที่มุมานะศึกษาเล่าเรียนจนประสบความสำเร็จแม้มีอายุมากแล้ว แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน และยังเป็นแบบอย่างที่ดี ช่วยสร้างแรงบันดาลใจแก่คนไทยให้ใฝ่ใจในการศึกษา นอกจากนี้ ทางการซาอุดีอาระเบียได้ชื่นชมรัฐบาลและหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ที่ใส่ใจเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญฮัจญ์ ประจำปี 2560 มากยิ่งขึ้น นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการพัฒนากิจการฮัจญ์ของประเทศไทย นายกฯเน้นย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน