หนูทดลองยา ดัดหลังนักการเมือง

หากคิดให้เป็นระบบแล้วเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกฉบับต่างๆล้วนมุ่งไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างตรงไปตรงมา

ไม่ว่าจุดอ่อน-จุดแข็ง ไม่ว่าผลจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา การซื้อเสียง การใช้อำนาจ การทุจริตคอร์รัปชัน การใช้นโยบาย

เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย

ดังนั้น ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าหลักการต่างๆจึงถูกนำมาประดิษฐ์เป็นมิติแห่งการแก้ไขปัญหาจนเป็นเรื่องที่ทำให้พรรคการเมือง นักการเมืองรู้สึกไม่พอใจ

การทำให้พรรคการเมืองเล็กลง เปิดทางให้พรรคเล็กได้มีโอกาสทางการเมือง การป้องกันการทุจริต เริ่มตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เวทีถึงขั้นต้องให้มีการตรวจสอบภาษีย้อนหลังไป 5 ปี เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ตั้งแต่เบื้องต้น

ด้านนโยบายก็มีการคุมเข้ม มีการตรวจสอบว่าใช้ได้จริงหรือไม่ โกหกหลอกลวงเพื่อหาเสียงหรือไม่

เพิ่มอำนาจองค์กรอิสระและภารกิจที่ต่างออกไปเพื่อหวังว่าจะคุมสภาพการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปฏิรูปประเทศที่จะต้องให้ความร่วมมือ

ที่สำคัญอีกอย่างคือแผนพัฒนาชาติ 20 ปี ที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะต้องเดินตามเข็มมุ่งนี้ หากไม่ปฏิบัติมีความผิดด้วย

นี่แค่ยกตัวอย่างคร่าวๆ ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

เมื่อลงรายละเอียดจะพบว่าด้วยแนวคิดที่ว่าไม่ต้องการให้พรรคการเมืองใหญ่เกินไป เพราะเกรงว่าจะไปใช้อำนาจมากเกินไปอย่างที่ผ่านมา และต้องการให้รัฐบาลมีหลายพรรคเป็นรัฐบาลผสมมากกว่ารัฐบาลพรรคเดียว

ระบบการเลือกตั้งก็เปลี่ยนใหม่ แม้จะมี ส.ส.เขต และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แต่ระบบการนำคะแนนจะเปลี่ยนไป

หรือการให้เลือก ส.ส. และเลือกพรรคด้วยการใช้บัตรเพียงใบเดียว แต่เลือกได้ 2 อย่าง และที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้คือ การยกเลิกการใช้เบอร์เดียวทั่วประเทศของพรรคการเมืองแต่ละพรรค

...

เหตุผลก็คือป้องกันการซื้อเสียงและเสาไฟฟ้า

หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งใหม่ด้วยการนำระบบไพรมารีโหวตมาใช้ คือให้สมาชิกพรรคได้มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ให้เจ้าของพรรค หัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคมีบทบาทที่จะเลือกใครก็ได้

“ไพรมารีโหวต” นี้มีทั้งพรรคที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะมีมุมมองที่ต่างกัน

พรรคที่ไม่เห็นด้วยนั้นคัดค้านเพราะเห็นว่าไม่ได้แก้ปัญหาแต่อย่างใด ดีไม่ดีจะมีการซื้อเสียงกันตั้งแต่เริ่มต้นด้วยซ้ำไป

ที่เห็นด้วยก็อ้างว่าเพื่อต้องการให้เป็นประชาธิปไตย ประชาชนมีส่วนร่วมและป้องกันนายทุนพรรค

แต่ลึกๆลงไปแล้วป้องกันพรรคคู่แข่งที่เอาชนะมาโดยตลอด

ต่างๆนานาในความคิดของนักการเมืองก็เป็นอย่างนี้แหละ...

หากพรรคตนได้ประโยชน์ก็เอาด้วย แม้จะเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องปรับตัวก็ยอมได้ แต่ถ้าพรรคไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่เอา อ้างต้องการทำลายพรรคการเมือง

ว่าไปแล้วก็นานาจิตตังไม่ได้คิดแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด แต่มองในแง่ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์เท่านั้น

ไหนๆจะปฏิรูปกันแล้วก็ลองปรับเปลี่ยนดูจะเป็นไรไป.

“สายล่อฟ้า”