นายกฯ ยัน รบ.แก้ปัญหายั่งยืนได้ ต้องปลอดเรื่องไม่เป็นประโยชน์จาก "ประท้วง-ซื้อเสียง-ประชานิยม" มุ่งมั่นปฏิรูปกฎหมาย-กระบวนการยุติธรรม สร้างนิติรัฐ-นิติธรรม สู่รากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย ยึดมั่น 3 อำนาจอธิปไตย "นิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ" ตรวจสอบถ่วงดุลกัน ไม่ก้าวล่วง

เมื่อวันที่ 4 ส.ค.60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย และชาวโลกได้เห็นพัฒนาการที่ดีของเราในอนาคต โดยตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปในแต่ละด้าน เพื่อเข้ามาดำเนินการจัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมอบหมาย ทั้งนี้เวลาที่จำกัด เพื่อความรอบคอบ รัฐบาล และ คสช.ได้เตรียมการล่วงหน้าที่สามารถดำเนินการได้ ผ่านการสนับสนุนการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยทำการศึกษารับฟังความเห็น และทำข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศต่างๆ ไว้ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการทำงานต่อเนื่องของคณะกรรมการทั้ง 2 คณะตามรัฐธรรมนูญ สำหรับส่ิงสำคัญในการปฏิรูปมีอยู่ 2 ประการ คือ การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ใช้ความรู้ ประสบการณ์ ริเริ่ม สร้างสรรค์ ผ่านช่องทางการมีส่วนร่วม เปิดกว้างเข้าถึงกลไกภาครัฐ ได้นักวิชาการ นักคิดที่ต้องเป็นนักปฏิบัติด้วย เพราะปัญหาอยู่ที่การขับเคลื่อน มีความขัดแย้งหลายอย่าง มีความเห็นต่างบางอย่างก็ยากมากเกินไปที่ทุกคนจะเข้าใจ ทุกอย่างเหล่านี้จะเป็นปัญหาทำให้การปฏิรูปของเราไม่สำเร็จ ที่ผ่านมาก็มีหลายอย่างที่สำเร็จไปแล้ว ในรายละเอียดปลีกย่อยใหญ่ๆ น่าจะยังมองดูว่ายังช้าอยู่ แต่ทุกอย่างจะต้องแก้จากเล็กถึงจะไปแก้ใหญ่ๆ ได้ ถ้าเราคิดจะทำอันใหญ่โดยที่ไม่แก้เล็กๆ ข้างล่างไปไม่ได้หรอก เพราะเป็นกิจกรรมที่ยึดโยงด้วยกันหมด

...

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ประการที่ 2 การจัดทำและการบังคับใช้กฎหมาย คงไม่เป็นเพียงแค่พื้นฐานของการปฏิรูปประเทศ ยังเป็นการสร้างความปรองดองของคนในชาติอีกด้วย ทุกคนมาอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกัน เคารพกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เพราะว่าถ้าไม่มีการละเมิดกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ก็จะไม่มีความขัดแย้ง เจ้าหน้าที่ก็ไม่เสียหาย ประชาชนก็ไม่เดือดร้อน ประเทศก็มีเสถียรภาพและพร้อมสำหรับการพัฒนา แล้วก็เดินหน้าไปสู่การปฏิรูปในทุกๆ เรื่องที่กล่าวมา ทั้งนี้การปฏิรูปที่ต้องเปลี่ยนแปลงครบวงจร จะยิ่งเกิดปัญหาอยู่กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ทำให้เดินไปได้ช้า ซึ่งตนไม่อยากใช้กฎหมายบังคับให้มากจนเกินไป เพียงแต่ขอความเข้าใจ ขอความร่วมมือว่าเราจะต้องทำอะไรร่วมกันบ้าง

"ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลและ คสช.ได้ให้ความสำคัญกับกฎหมายและกระบวนยุติธรรมมาโดยตลอด เนื่องจากเห็นว่านอกจากจะเป็นการสร้างนิติรัฐและนิติธรรมในสังคมไทยแล้ว ยังเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทุกคนต้องเคารพกฎหมายและยึดมั่นในทั้ง 3 อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ที่สามารถตรวจสอบ ถ่วงดุลกัน และเป็นอิสระ ไม่ก้าวล่วงอำนาจซึ่งกันและกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างการปฏิรูป อย่างการผลักดันกฎหมายใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อนและลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานราชการ หรือแม้แต่การปฏิรูปการเกษตร โดยการร่วมกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ การลดพื้นที่ปลูกข้าว ปลูกพืชผสม เลี้ยงปศุสัตว์ อย่างในโครงการโคบาลบูรพาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งที่ จ.สระแก้ว อยู่ใกล้ชายแดนเชื่อมต่อแหลมฉบัง เชื่อมต่อกรุงเทพฯ กับฟาร์มโชคชัย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยที่ไม่ต้องอาศัยน้ำฝนเท่านั้น ถ้าฝนไม่ตก ก็ไม่มีน้ำ แล้วเราจะเอาน้ำจากที่ไหน เจาะบาดาลก็เจาะไม่ได้มากนัก บางพื้นที่ก็ไม่มีเลย สร้างคลองชลประทานได้ก็ไม่คุ้มค่า ส่วนพื้นที่แล้งซ้ำซากให้กลายเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ หาม้ามาให้เช่าขี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ได้ และรัฐบาลไม่ต้องหว่านเงินแก้ปัญหาภัยแล้งให้ชาวนาอีกต่อไป เราจะประหยัดได้อีกไม่รู้เท่าไร แต่คงต้องอาศัยเวลาบ้าง แต่จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ไม่ต้องมีการประท้วง ไม่ต้องมีการซื้อเสียง ไม่มีการทำประชานิยม ที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้รัฐบาลเอาเวลาไปแก้ปัญหาอย่างอื่นที่ยากกว่านี้ดีกว่า ทุกรัฐบาลช่วยเหลือสนับสนุนเกษตรกรให้มีรายได้มั่นคง ยั่งยืน เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนมาในทุกยุคทุกสมัยรัฐบาลนี้และ คสช.ก็เช่นกัน.