หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วม จ.ยะลา ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เข้าบังคับใช้กฎหมายตรวจสอบและติดตามบุคคลต้องสงสัย ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ คนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องประกอบในรถยนต์ บริเวณหน้าแฟลตตำรวจ สภ.บันนังสตา

วันที่ 1 ก.ค. 67 ความคืบหน้าเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์หน้าแฟลตตำรวจ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บร่วม 40 ราย หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมประจำจังหวัดยะลา ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ เข้าบังคับใช้กฎหมายตรวจสอบและติดตามบุคคลต้องสงสัย ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์  


หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรถยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ พบเป็นรถยนต์ทางราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลธารโต และจากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม พบบุคคลต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับรถยนต์ดังกล่าว ซึ่งสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัว นายมุสตอฟา อายุ 27 ปี อยู่ ม.3 บ้านจาเราะแป ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เป็นผู้ช่วยช่างโยธาขององค์การบริหารส่วนตำบลธารโต 


ผลการซักถามเบื้องต้น พบว่า นายมุสตอฟา เป็นคนใช้รถยนต์คันดังกล่าวเป็นคนสุดท้าย หลังจากนั้นมี นายมะรอปี  อายุ 45 ปี อยู่ ม.7 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เป็นคนโทรหา นายมุสตอฟา สอบถามหากุญแจรถยนต์ และทราบข้อมูลจาก นายมุสตอฟา ว่า นายมะรอปี เป็นคนออกจากองค์การบริหารส่วนตำบลธารโตเป็นคนสุดท้าย ปัจจุบันอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลและติดตามตัว นายมะรอปี เพื่อมาให้ข้อมูลกรณีต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ


สำหรับในขั้นตอนการปฏิบัติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่พูดคุยและสร้างความเข้าใจเพื่อให้รับทราบถึงขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้ปฏิบัติด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนให้มากที่สุด ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัว นายมุสตอฟา ไปยังศูนย์ซักถาม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 เพื่อดำเนินกรรมวิธีซักถามและขยายผลต่อไป

...


ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร 061-1732999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งขอเรียนให้ทราบว่า ผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ