ภูเก็ต-นักธุรกิจสวิส-ภรรยาชาวไทย ยกมือไหว้ขอโทษชาวภูเก็ตและคนไทยทั้งประเทศ ปมเตะหมอ ยอมรับโกรธจนขาดสติ เพราะเคยถูกนักท่องเที่ยวรุกล้ำพื้นที่ซ้ำๆ ยินยอมที่จะชดใช้ทุกอย่าง พร้อมยอมรับรู้จักตำรวจใหญ่จริง เรียกว่า “ท่านรอง” ขณะที่ทนายความ ชี้แจง-เชื่อได้รับบทเรียนแล้ว

เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 1 มีนาคม 2567 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังใหม่) อ.เมือง นายกองเอก อดุลย์ ชูทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.ภาสกร สนธิกุล รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กำกับดูแลการสอบสวน พ.ต.ท.เอกชัย ศิริ สวญ.ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.3 ได้รับการประสานจากทนายความของนายเดวิด นักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์และภรรยาชาวไทย โดยมีนักธุรกิจชาวไทยเป็นผู้ประสาน เพื่อจะนำนายเดวิดและภรรยาชาวไทยเข้าพบ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก คือ จะขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อชาวไทยทั้งประเทศและผู้เสียหาย ตลอดจนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก

โดยนายเดวิด หรือนาย Urs Beat Fehr อายุ 45 ปี นักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้กล่าวต่อการแถลงขอโทษเป็นภาษาอังกฤษผ่านทนายความ มีเนื้อหาสาระพอที่จะสรุปได้ว่า ตนเองอยากจะขอโทษชาวไทยทุกคนและคุณหมอต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาตนรักเมืองไทยมาก และสนับสนุนชาวไทยทุกคน แม้ตนเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ แต่ ณ ปัจจุบัน ตนมองว่าเมืองไทยคือ บ้านของตน ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายขนาดนี้

...

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ตนแสดงอารมณ์ไปแบบนั้น เพราะที่ผ่านมามีคนบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของตนทุกๆ สัปดาห์ อย่างกรณีล่าสุดมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน 7-8 คนบุกรุกเข้ามาในสนามหญ้าและในสระว่ายน้ำภายในวิลล่าของตนเอง ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของตนและภรรยา จึงห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองและภรรยา เมื่อเกิดเหตุการณ์ของคุณหมอเข้ามาอีก ก็เลยทำให้ตนแสดงอารมณ์รุนแรงกว่าปกติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ตนไม่ได้ขอโทษคุณหมอตั้งแต่แรก เพราะตนรู้สึกโกรธ มองว่าเป็นการบุกรุกที่ส่วนตัวหลายครั้งแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ได้พูดเหยียดว่าเป็นแค่คนไทยพื้นถิ่น ไม่ได้พูดเลย" พร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง

ส่วนภรรยาชาวไทยกล่าวว่า ตนเองเข้าใจว่ากลุ่มของคุณหมอ เป็นกลุ่มชาวจีนเดิมที่เคยบุกรุกเข้ามา ยอมรับว่าพูดอะไรไปหลายอย่างด้วยความโกรธ แต่ไม่ได้มีการขู่ว่าจะยิงอะไรต่างๆ แต่การข่มขู่ว่ารู้จักกับตำรวจใหญ่ ก็รู้จักตำรวจที่เรียกว่า “ท่านรอง” ท่านหนึ่งจริงๆ แต่ที่พูดไปด้วยความโมโห และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร 

“ส่วนประเด็นว่า พูดหรือไม่ว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ต่างชาติขอโทษคนไทยไม่ได้ จำไม่ได้จริงๆ ว่า พูดหรือไม่ เบลอๆ เพราะถูกปลุกขึ้นมากลางดึก ตอนนี้เรายอมรับว่ารู้สึกผิดมากๆ และยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง กราบขอโทษคุณหมอสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนั้นเราทั้งโกรธและกลัว และไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ จะให้ตนรับผิดชอบยังไงก็ยอม”

ด้านทนายความกล่าวเสริมด้วยว่า ตนเองในฐานะทนายความที่เข้ามาดูแลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการในเรื่องการฟ้องร้องหรือคดีใดๆ แต่ทางคุณเดวิดจะให้ใครดำเนินการหรือไม่ ไม่ทราบ ซึ่งส่วนตัวจะพิจารณาการรับทำคดีตามหลักของกฎหมาย ตนเองจึงถือโอกาสนี้ขอแสดงความในใจ ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งที่กระทบกระทั่งกับจิตใจของคุณหมอ กระทบกระทั่งกับจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ กระทบกระทั่งจิตใจของตัวคุณเดวิดเองที่เป็นชาวต่างชาติและตัวภรรยาของเขาเองที่เป็นคนไทย 

ตนเองขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอโทษที่ตัวผมแสดงความคิดเห็นไปตามพยานหลักฐานที่ตนเองเห็นและมันขัดแย้งกับความคิดเห็นของคนอื่นที่อยู่ในโซเชียลหรือความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องก็ต้องขออภัยด้วย ซึ่งตนแสดงความคิดเห็นอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐานที่คุณเดวิดนำมาแสดงกับตนเอง 

"ก่อนที่จะรับคดี ทนายทุกคนจะตรวจสอบว่าลูกความของตนมีการโกหกหรือไม่ อย่างไร ซึ่งต้องนำพยานหลักฐานมาให้ตรวจสอบ ซึ่งไม่สามารถมาพูดปากเปล่าได้ โดยคุณเดวิดได้นำหลักฐานมีคลิปวิดีโอ ซึ่งเป็นพยานหลักฐาน โดยไม่แน่ใจว่าสื่อไหนนำไปเผยแพร่แล้ว แต่จริงๆ แล้วมันเป็นพยานหลักฐานที่จะอยู่ในสำนวน ซึ่งเมื่อมาไล่ดูคลิปก็สอดคล้องกับที่ทางคุณเดวิดเล่าให้ฟังว่ามีการสะดุดล้ม 

...

ส่วนเหตุผลที่ทำไมคุณเดวิดถึงต้องถ่ายคลิป เพราะมันผิดวิสัยของบุคคลทั่วไป คุณเดวิดได้ตอบว่า ถ่ายไว้เพื่อนำคลิปไปชี้แจงกับผู้จัดการโครงการว่ามีคนบุกรุกเข้ามาอีกแล้ว ถ่ายเพื่อแจ้งส่งผ่านข้อความให้ผู้จัดการ นั้นคือเหตุผลที่คุณเดวิดถ่ายคลิปในวันนั้น เหตุการณ์มันก็เลยเกิดขึ้นตามคลิปที่ถูกเผยแพร่"

ทนายความกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า กฎหมายไทยคุ้มครองทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะคนไทยหรือคนภูเก็ต รวมไปถึงคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยด้วย โดยคุณเดวิดถูกแจ้งข้อกล่าวหา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะต่อสู้ทางกฎหมาย แสดงพยานหลักฐานตามขั้นตอนของกฎหมาย มุมของกฎหมายคุณเดวิดมีสิทธิ์ต่อสู้ตามพยานหลักฐาน แต่ในแง่ศีลธรรมถ้าเป็นตนเองนั้น เวลากระทบกระทั่งกับใครโดยไม่เจตนา ตนเองจะขอโทษ นั้นคือ ในแง่ศีลธรรม ส่วนในแง่ของกฎหมายจะผิดจะถูกก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน 

ส่วนตัวคุณเดวิดอาจจะยึดถือหลักกฎหมายเป็นหลักหรือไม่นั้น เขาอาจคิดว่าไม่มีความผิดเกิดขึ้น แต่การมาวันนี้คุณเดวิดอยากออกมาขอโทษสังคมและชาวไทยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนมีการเผยแพร่ใหญ่โต คุณเดวิดยอมที่จะลดอีโก้ลงแล้วออกมาขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ไปยึดตามบทหรือหลักของกฎหมายเพียงอย่างเดียว วันนี้เขาน่าจะได้รับบทเรียนกับเหตุการณ์นี้แล้ว

...