ทิ้งไว้เพียงเศษซากปรักหักพังและคราบน้ำตาให้กับ “ครอบครัวผู้สูญเสีย” จากเหตุโกดังพลุระเบิดกลางตลาดมูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส คร่าชีวิตผู้คนไป 12 ราย บาดเจ็บอีก 389 คน และยังทำให้บ้านเรือน ร้านค้าพังพินาศเสียหายเกือบ 682 หลังเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา

หลังเกิดเหตุไม่นาน “เจ้าของโกดัง 2 สามีภรรยา” ก็เดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจก่อนแจ้ง 4 ข้อหาหนัก “ผู้ต้องหายังภาคเสธ” จึงส่งตัวไปฝากขังค้านการประกันตัว เตรียมส่งฟ้องศาลจังหวัดนราธิวาสต่อไป

ขณะที่ “ชาวบ้าน” ต่างเรียกร้องให้เจ้าของโกดังรับผิดชอบต่อความเสียหาย และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบที่ลงทะเบียน 620 ราย ในเรื่องนี้ คมเพชญ จันปุ่ม หรือทนายอ๊อด ประธานเครือข่ายทนายชาวบ้าน บอกว่า โรงงานผลิต-โกดังเก็บพลุดอกไม้ไฟระเบิดมักเกิดขึ้นบ่อย และสร้างความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินมาต่อเนื่อง

อย่างกรณีโกดังเก็บพลุระเบิดในตลาดมูโนะแรงระเบิดทำให้บ้านเรือนเสียหาย 682 หลัง มีคนเจ็บ 300 กว่าคน เสียชีวิต 12 คน อีกกรณีโรงงานพลุระเบิดดอยสะเก็ด เชียงใหม่ บ้านพัง 30 หลัง เจ็บ 8 คน เสียชีวิต 1 ราย

...

เช่นนี้แล้ว “เจ้าของโกดังพลุดอกไม้ไฟ” หนีไม่พ้นต้องรับผิดตามกฎหมายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก...“ความผิดอาญา” เป็นการกระทำโดยประมาทให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อาญา ม.291 โทษจำคุก 10 ปี เพราะทั้งที่รู้ดีว่าพลุดอกไม้ไฟเป็นสินค้าถูกจัดเป็นวัตถุระเบิดชนิดหนึ่งอันมีดินปืนเป็นส่วนประกอบกลับนำมาเก็บไว้ในชุมชน

คมเพชญ จันปุ่ม หรือทนายอ๊อด
คมเพชญ จันปุ่ม หรือทนายอ๊อด

กลายเป็นโศกนาฏกรรมมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บมากมายที่เข้าอีก ม.300 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสโทษจำคุก 3 ปี และประกอบ ม.358 ที่ทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายมีโทษจำคุก 3 ปีด้วย

ทั้งยังมีความผิดร่วมกันทำ สั่ง นำเข้าหรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร่วมกันก่อสร้างดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนี้ “พนักงานสอบสวน” จะทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทำสำนวนคดีส่งอัยการพิจารณาฟ้องศาลต่อไป

ถัดมา ส่วนที่สอง...“คดีทางแพ่ง” แน่นอนว่าโกดังพลุระเบิดเป็นอุบัติเหตุก่ออันตราย ชีวิต ร่างกาย จิตใจของบุคคลอื่น “ย่อมเป็นการละเมิด” ตาม ป.พ.พ.ม.420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้ผู้อื่นเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิ ผู้นั้นทำกระทำการละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

อันเป็นลักษณะ “คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” กล่าวคือคดีแพ่งมีมูลจากการทำความผิดอาญา หรือความผิดทางแพ่งเกิดจากผลของการทำผิดอาญาโดยตรง ตาม ป.วิแพ่ง ม.40 การฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานี้จะฟ้องต่อศาลพิจารณาคดีอาญา หรือต่อศาลมีอำนาจชำระคดีแพ่งก็ได้

ฉะนั้นแล้ว “ผู้เสียหาย” สามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ 2 ทาง คือ ทางแรก...“โจทก์ร่วมฟ้องคดีแพ่งไปพร้อมกับคดีอาญา” ตาม ป.วิอาญา ม. 44/1 ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจฯ จะยื่นคำร้องต่อศาลพิจารณาคดีอาญา

...

เพื่อขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายก็ได้ ส่วนผู้มีสิทธิในที่นี้ก็อย่างเช่นผู้บาดเจ็บ บิดา มารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ภรรยา บุตร หรือทายาทโดยธรรม สามารถยื่นคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการในคดีอาญาได้

ด้วยการบรรยายเหตุรายละเอียดความเสียหายที่มาจากการกระทำผิดอาญา ทั้งจำนวนเงินคำขอให้ศาลบังคับนั้น พร้อมเอกสารหลักฐานใช้ประกอบยื่นคำร้อง เช่น เอกสารเกี่ยวกับการเสียหายทั้งปวง เอกสารเกี่ยวกับการประกอบอาชีพรายได้ หรือใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล และความเห็นของแพทย์

กระบวนการนี้ “ผู้เสียหายจะแต่งตั้ง หรือไม่มีทนายความ” ก็สามารถเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในการเรียกร้องในส่วนคดีแพ่งได้ ทำให้ประหยัดเวลาในการพิจารณาถ้าจำเลยมีความผิดตามฟ้องแล้ว “ศาล” ย่อมพิจารณาถึงอัตราค่าเสียหายสั่งให้ชดเชยได้เลย และไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมศาลด้วย

หากผู้เสียหายไม่เป็นที่พอใจ “คำพิพากษาชดเชยความเสียหาย” ก็ยื่นอุทธรณ์ในคดีนั้นได้อีก

ทางเลือกที่สอง...“ผู้เสียหายยื่นฟ้องคดีในศาลแพ่ง” ที่ต้องแต่งตั้งทนายความยื่นฟ้องเรียกร้องความเสียหายต่อศาลแพ่งในคดีละเมิดนี้อันมีอายุความ 1 ปี แต่ว่าในกรณีนี้ไม่สามารถเป็นโจทก์ร่วมคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาควบคู่กับการแยกยื่นฟ้องเรียกร้องในศาลแพ่งพร้อมกันได้

...

ทว่าสำหรับ “การแยกฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง” ส่วนใหญ่ต้องรอคดีอาญาถึงที่สุดว่า “จำเลยมีความผิดจริงหรือไม่” เมื่อมีความผิดจริงก็ค่อยมาพิจารณาคดีแพ่งต่อไป ส่งผลให้กระบวนการต่อสู้คดีในการเรียกร้องค่าเสียหายต้องใช้เวลานาน แต่หากบุคคลนั้นไม่มีความผิดตามฟ้องคดีอาญาก็ไม่มีการพิจารณาคดีแพ่งเช่นกัน

นอกจากนี้โจทก์ยังต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลตามส่วนที่จะให้จำเลยรับผิดชอบเป็นตัวเงินไม่เกิน 3 แสนบาท ค่าธรรมเนียมศาล 1 พันบาท ถ้าทุนทรัพย์ 3 แสนหนึ่งบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท มีอัตราร้อยละ 2 ไม่เกิน 2 แสนบาท

ปัญหามีอยู่ว่า “เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดจำเลยไม่มีเงินจ่ายค่าเสียหายนั้น” กรณีนี้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น “ขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี” เพื่อยึด หรืออายัดทรัพย์สิน โดยเจ้าหนี้อาจจะเป็นผู้สืบทรัพย์ของจำเลยว่ามีทรัพย์อะไรบ้าง จำนวนเท่าไร มีบัญชีเงินฝากอยู่ที่ใดให้ได้มากที่สุด

เมื่อทราบครบทั้งหมดแล้ว “ก็ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี” เพื่อทำการบังคับคดีออกขายทอดตลาดนำเงินมาชดใช้ตามคำพิพากษาของศาลต่อไป แล้วแม้ว่าภายหลังจำเลยจะได้ทรัพย์สินมาอย่างเช่น การได้รับมรดก ถูกลอตเตอรี่ หรือเงินได้ตามกรมธรรม์ประกันภัย ย่อมถูกบังคับคดีด้วยจนกว่าจะชดใช้ให้เจ้าหนี้ครบ

...

ประการถัดมา “ถ้าจำเลยรู้คดีมีมูลละเมิดความผิด” ทำให้มีการโยกย้ายทรัพย์สินให้บุคคลอื่น เพื่อไม่ต้องชดใช้หนี้ ในลักษณะนี้อาจมีความผิดอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อาญา ม.350...

ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ หรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น โอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้อันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องโทษจำคุก 2 ปี

แนะนำทางที่ดี “ผู้เสียหาย” ยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวน หรืออัยการ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อน เพื่อป้องกันการยักย้าย ถ่ายเท หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถทำได้

ต่อมาหากสมมติว่า “จำเลยไม่มีทรัพย์สินชำระค่าเสียหาย” เบื้องต้นความเสียหายที่เกิดจากโกดังพลุระเบิดรวมกันน่าจะเกินกว่า 1 ล้านบาท ฉะนั้นก็อาจเข้าข่ายตกเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว “เจ้าหนี้” สามารถยื่นฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาบังคับในการฟ้องเป็นคดีล้มละลายได้อีกทางด้วย

เมื่อศาลมีคำพิพากษาล้มละลายแล้ว “บุคคลนั้น” ต้องรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ 30 วัน และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีหน้าที่สืบเสาะทรัพย์สิน ประวัติ การทำงาน มีเงินเดือนเท่าไร และติดตามเอาทรัพย์ที่ได้โอนให้เจ้าหนี้ไปใน 1 ปี ก่อนล้มละลายกลับมาเป็นทรัพย์สินกองกลางแบ่งเฉลี่ยให้เจ้าหนี้อย่างเท่ากันได้

ทว่าด้วยการฟ้องคดีล้มละลายอายุความ 10 ปี แนะนำให้ใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายใกล้หมดอายุความเพราะ “การตกเป็นบุคคลล้มละลาย” จะทำให้ไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์สินใดๆของตนได้ อันต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จนกว่าจะถูกปลดเป็นบุคคลล้มละลายระยะเวลา 3 ปีหลังถูกศาลสั่งนั้น

เว้นแต่หากเคยล้มละลายมาก่อนอาจถูกยืดระยะเวลาออกไปเป็น 5 ปีหรือ 10 ปี จากนั้นจะมีคำสั่งปลดเป็นบุคคลล้มละลายสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้รับสิทธิในการทำธุรกรรมตามปกติ “หลุดพ้นจากภาระหนี้ที่ต้องชำระทั้งปวงเสมือนเป็นการเริ่มชีวิตใหม่” บรรดาเจ้าหนี้ใดก่อนล้มละลายจะมาเรียกร้องให้ชำระหนี้ไม่ได้อีกต่อไป

นี่เป็นข้อกฎหมายสำหรับ “คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” ที่เกิดจากผลของการกระทำความผิดอาญาโดยตรง สามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าของโกดังพลุระเบิดชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น...

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม