ทุเรียนสายพันธุ์โอฉี่ และมูซังคิง ใน อ.เบตง จ.ยะลา เริ่มออกสู่ท้องตลาด ยืนยันความอร่อยไม่เป็นรองประเทศต้นกำเนิด มั่นใจทุเรียนไทยสู้คู่แข่งทางการตลาดได้ และจะสร้างรายได้เข้าประเทศ ได้อย่างยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลานี้ ทุเรียนในพื้นที่อำเภอเบตง เริ่มให้ผลผลิตกับชาวสวนแล้ว โดยที่สวนโกดังสีส้ม ซึ่งอยู่ใน ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา ช่วงนี้จึงมีทุเรียนหลายสายพันธุ์จำหน่าย นายสามารถ บาสาลอ ผู้จำหน่ายทุเรียนในพื้นที่กำลังเก็บทุเรียนสายพันธุ์ โอฉี่ และมูซังคิง ซึ่งเป็นทุเรียนอีกหนึ่งสายพันธุ์ของประเทศมาเลเซีย ที่กวาดรางวัลชนะเลิศมาแล้ว 4 ปีซ้อน ในประเทศมาเลเซีย จนเป็นทุเรียนขึ้นชื่อของประเทศมาเลเซียที่นักบริโภคทุเรียนนิยมรับประทานกัน

สำหรับลักษณะภายนอกของทุเรียนโอฉี่  ที่ก้นผลทุเรียนหนามจะมีสีดำ ส่วนทุเรียนมูซังคิง ที่ก้นผลทุเรียนจะมีลักษณะคล้ายแฉกดาว 5 แฉก  ซึ่งทั้ง 2 สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศมาเลเซีย ที่เกษตรกรในพื้นที่อำเภอเบตง ได้นำมาปลูก สำหรับพื้นที่ปลูกทุเรียนใน อ.เบตง  ส่วนใหญ่จะปลูกบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร ลักษณะพิเศษของทุเรียนเบตง คือ กรอบนอก นุ่มใน เนื้อสัมผัสละมุนลิ้น นอกจากทุเรียนสองสายพันธุ์นี้แล้ว อ.เบตง ยังมีทุเรียนอีกหลายสายพันธุ์ ทั้งหมอนทอง, พวงมณี, ชะนี, ก้านยาว, ยาวลิ้นจี่ และสายพันธุ์พื้นบ้านที่รสชาติอร่อยอีกมากมาย 

...

ขณะนี้ การเกษตรและการท่องเที่ยวของ อ.เบตง จ.ยะลา เป็นไปในทิศทางที่ดี หากการท่องเที่ยวดี มีการเกษตรช่วยหนุนเสริม เน้นคุณภาพเป็นหลัก ก็จะทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดียิ่งขึ้นด้วย เนื่องจาก อ.เบตง มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ผู้ชื่นชอบทุเรียน จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและแวะสวนทุเรียนในพื้นที่ จนเป็นที่ยอมรับว่า รสชาติ ทุเรียนทั้ง 2 สายพันธุ์ ทั้ง โอฉี หรือหนามดำ และมูซังคิง มีรสชาติหอม อร่อย เนื้อเป็นครีม ละลายในปาก กินเพลินไม่รู้จักอิ่มเลยทีเดียว 

นายสามารถ บาสาลอ ผู้จำหน่ายทุเรียน กล่าวว่า ทุเรียนทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ตนมีความเชื่อมั่นในรสชาติ ระหว่างทุเรียนที่ปลูกในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา กับทุเรียนที่ปลูกในประเทศมาเลเซีย หากเทียบรสชาติความอร่อย ทุเรียนคิงที่ปลูกที่ อ.เบตง มีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ดีกว่าทุเรียนมูซังคิงของประเทศเพื่อนบ้าน ที่ตัวเองได้ชิม รสชาติค่อนข้างจืด กลิ่นไม่หอมเหมือนที่ปลูกใน อ.เบตง ของเรา ส่วนหนึ่งน่าจะอยู่ที่วิธีการดูแลด้วย เกษตกรบ้านเรามีความพิถีพิถันในการปลูกดูแลเอาใจใส่อย่างดี จนทำให้ทุเรียนสายพันธุ์ต่างๆ ที่ปลูกในเบตง อร่อย และมีคุณภาพ

ผู้จำหน่ายทุเรียน กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมาทุเรียนของไทยยังติดอันดับต้นๆ ของโลกที่ส่งออกทุเรียน โดยมูลค่าการส่งออกทุเรียนของไทยในปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ในช่วงระยะเวลาเพียง 5 ปีที่ผ่านมา เป็น 110,000 ล้านบาท จนทำให้ในวันนี้ ประเทศไทยขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ผู้ส่งออกทุเรียนของโลก แต่ตลาดส่งออกหลักของเรา แทบทั้งหมด ก็คือ ประเทศจีน

นายสามารถ กล่าวอีกว่า ส่วนความแตกต่างระหว่างทุเรียน 2 สายพันธุ์นี้มีลักษณะแตกต่างกัน ทุเรียนสายพันธุ์โอฉี่หรือหนามดำ มีลักษณะเนื้อออก สีส้ม พาสเทล ส่วนทุเรียนสายพันธุ์มูซังคิง เนื้อจะออกสีเหลืองทอง นิยมกินแบบครีมมี่ ซึ่งทั้ง 2 สายพันธุ์ นักบริโภคนิยมกินแบบครีมมี่ ที่มีความนุ่มละเอียด ละลายในปาก ส่วนราคา ขึ้นอยู่กับว่าเป็นต้นพันธุ์แก่ หรือต้นสาว ซึ่งตอนนี้มีหลายราคา อย่าง ทุเรียนสายพันธุ์โอฉี่ หรือหนามดำ เกรด B อยู่ที่ กิโลกรัมละ 550 บาท ส่วนเกรด A อยู่ที่ กิโลกรัมละ 650 บาท ส่วนมูซังคิง ราคาเริ่มต้น กิโลกรัมละ 350–500 บาท ในด้านของความเชื่อมั่นกรณีคู่ค้าต่างประเทศตีตลาดไทย อย่างเวียดนาม และมาเลเซีย ก็เริ่มมีการส่งออกทุเรียนเข้าไปยังประเทศจีน ซึ่งอาจเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทุเรียนไทย

...

ผู้จำหน่ายทุเรียน กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นว่าทุเรียนไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก และทางส่วนราชการเองก็ได้มีการควบคุมป้องกันและแก้ไขปัญหาทุเรียนอ่อนในการส่งออกสู่ตลาด และมีการรณรงค์ให้เกษตกร ผู้รับซื้อ และผู้มีอาชีพตัดทุเรียน เก็บเกี่ยวทุเรียนในระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม รวมทั้งการรณรงค์ไม่ซื้อ ไม่ขาย ทุเรียนอ่อนด้วย จึงมีความมั่นใจในทุเรียนของไทยเราที่สู้คู่แข่งได้ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างยั่งยืน.