ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคุกรุ่น “กลุ่มก่อความไม่สงบ” มีการเคลื่อนไหวลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้บริสุทธิ์มาตลอด 19 ปี นับแต่เหตุปล้นปืน 413 กระบอกจากค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เมื่อปี 2547 ถูกนำมาใช้เป็นยุทโธปกรณ์ก่อเหตุความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง

แม้ในช่วงที่ผ่านมา “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” จะเกิดขึ้นในหลายครั้งภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย และยอมรับหลักการรวมของรัฐไทย “แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า” ทำให้การก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ยังเกิดเป็นระยะอย่างกรณีในปี 2565 ลอบวางระเบิดแฟลตตำรวจ สภ.เมืองนราธิวาส การโจมตีสถานีตำรวจน้ำ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส

การก่อเหตุวางระเบิด และเผาร้านสะดวกซื้อ-ปั๊มน้ำมัน 17 จุด “ความรุนแรงยืดเยื้อนี้” กระทบเกือบทุกด้านสำหรับคนในพื้นที่ “โดยเฉพาะความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน” ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่าน “รัฐบาลใหม่” ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเมืองไทย ทำให้หลายฝ่ายต้องจับตาการแก้ปัญหาความไม่สงบนี้จะไปในทิศทางใด

...

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) บอกว่า ตอนนี้สถานการณ์การก่อเหตุใน 3 จชต.ค่อนข้างลดน้อยลงมากเมื่อเทียบกับอดีต ส่วนใหญ่เป็นการก่อเหตุตามวงรอบการเคลื่อนไหวจาก “กลุ่มแนวก่อความไม่สงบ” เพื่อรักษาความรุนแรงหล่อเลี้ยงสถานการณ์สนับสนุนยุทธศาสตร์

ทั้งเป็นปกติเมื่อ “ประเทศไทยอยู่ในช่วงรอยต่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเก่าสู่รัฐบาลใหม่” มักต้องมีการก่อเหตุแสดงแสนยานุภาพถี่รุนแรงมากยิ่งขึ้น “อันเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์การมีตัวตนในพื้นที่” ด้วยการเลือกลงมือเป้าหมายอ่อนแอเป็นหลัก และควบคู่เฝ้าติดตามท่าที “รัฐบาลใหม่” จะมีนโยบายเปลี่ยนไปในทิศทางใด

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร

แล้วเท่าที่ทราบ “ผู้กำหนดนโยบายขบวนการก่อความไม่สงบ” เริ่มมีท่าทีสนใจเชื่อมั่นการพูดคุยเจรจาสันติสุขกับ “รัฐบาลประชาธิปไตย” อันจะนำไปสู่การหาข้อยุติของความสงบสุขสู่ชายแดนใต้ง่ายมากกว่า “รัฐบาลมาจากการยึดอำนาจ” เพราะยังคงถูกมองเป็นรัฐบาลทหารคู่ปรปักษ์ต่อกันในพื้นที่ 3 จชต.

กลายเป็นว่า “ฝ่ายเห็นต่าง” จำใจเข้าร่วมเพื่อรักษาเวทีพูดคุยนี้ไว้ “ฝ่ายรัฐบาลไทย” ก็ไม่ได้ประสงค์ความก้าวหน้า “เกิดเป็นช่องว่างระยะห่างต่อกัน” ทำให้กระบวนการพูดคุยสันติสุขหลายรอบไม่มีความคืบหน้าใดๆ

เมื่อประเทศไทยกำลังไปสู่ “การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่” ก็มีการส่งสัญญาณออกมาไม่นานมานี้จาก “คณะทำงานย่อยพรรคร่วมรัฐบาลว่าด้วยสันติภาพชายแดนใต้” มีการนัดประชุมหารือนัดแรกเกี่ยวกับการวางกรอบการทำงาน “แนวทางการสร้างสันติภาพ” ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหาด้วยการใช้หลักการพูดคุยเจรจาเป็นสำคัญ

ทั้งต่อยอด “แนวทางดีๆของรัฐบาลชุดเก่า” นำมาปรับโครงสร้างสอดรับสถานการณ์จริง “ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ” สร้างกลไกการมีส่วนร่วมรับฟังความคิดเห็น และความต้องการของคนในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง

ด้วยการส่งเสริมให้ “ภาคประชาสังคม หรือนักวิชาการ” เข้ามาร่วมเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมระดมความคิดเห็นปัญหาความต้องการของประชาชนโดยตรง “อันเป็นการกรองข้อมูลจากคนในพื้นที่” เพื่อนำข้อมูลนั้นมาสนับสนุนเกื้อกูล “คณะทำงานชุดใหญ่” ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนโยบาย หรือคณะผู้แทนพูดคุยสันติสุข

...

เสมือนประชาชนเป็นตัวสะท้อนว่า “แนวทางการแก้ปัญหา และการพูดคุยเจรจากับฝ่ายเห็นต่างนั้นเป็นไปตามความต้องการคนในพื้นที่หรือไม่” เพราะที่ผ่านมาการแก้ปัญหาถูกกดทับจาก “รัฐบาลชุดเก่าประกาศใช้กฎหมายพิเศษ” ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ไม่เอื้อให้ประชาชนแสดงออกทางความคิดเห็นต่างด้วยซ้ำ

ประการเช่นนี้แล้ว “เวทีพูดคุยสันติสุขระดับพื้นที่จะประสบความสำเร็จ” ต้องไม่มีกฎหมายพิเศษมากดทับให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อกัน ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มักส่งผลให้คนในพื้นที่ไม่กล้าปรากฏตัวแสดงทัศนคติความคิดเห็นต่างได้ เพราะเกรงถูกควบคุมตัวตั้งข้อหาต่างๆนานา

ดังนั้นเราก้าวเข้ามาสู่ “การเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย” บรรยากาศการใช้กฎอัยการศึกต้องถูกผ่อนคลายลง “แล้วเท่าที่คณะทำงานย่อยพรรคร่วมรัฐบาลว่าด้วยสันติภาพชายแดนใต้” ได้พูดคุยกันต่างมีสัญญาณตรงกันคือ “ยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนใต้” อันจะเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายสถานการณ์รุนแรง

เปิดทางให้การมีส่วนร่วมของ “ภาคประชาชนในพื้นที่ 3 จชต.” สามารถขับเคลื่อนเกิดขึ้นได้จริง

...

ถัดมาสำหรับ “แนวทางการยกเลิกใช้กฎอัยการศึกนั้น” เบื้องต้นมีแนวโน้มนำเสนอ “ยกเลิกใช้ทุกพื้นที่ในชายแดนภาคใต้” นอกจากนี้ยังอาจจะขยายออกไปถึงพื้นที่ตามแนวชายแดน “ฝั่งทางด้านตะวันตก และภาคเหนือของประเทศไทย” ที่ยังคงมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่อยู่ขณะนี้ด้วย

แต่ก็ยังคงไว้ซึ่ง “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ความมั่นคง 2551” อันจะเป็นเครื่องมือสำหรับเอื้อประโยชน์ให้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” สามารถปฏิบัติงานได้สะดวกอยู่เช่นเดิมเพียงแต่ว่า “การยกเลิกกฎอัยการศึก” อาจจะเกิดความไม่คล่องตัวในแง่การจับกุมต้องมีหมายจับ หรือการควบคุมตัวจำเป็นต้องมีการแจ้งข้อหาก่อนเท่านั้นเอง

หลังจากนั้น “ก็ปรับปรุง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ” เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการบังคับใช้ให้ดีขึ้น “ก่อนยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯในสิ้นปีนี้” เพื่อเน้นดูแลเฉพาะพื้นที่เข้มข้นสูง ส่วนพื้นที่เข้มข้นน้อยอาจจะต้องผ่อนปรนกฎหมายข้อบังคับบางประการ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายดีแล้วก็จะกลายเป็นการใช้กฎหมายปกติดูแลต่อไป

ฉะนั้นแล้ว “การยกเลิกกฎอัยการศึก” มักเป็นปัญหาเฉพาะ “ทหารปฏิบัติงาน” ส่วนตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่พลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้นมีความคุ้นเคยกับกฎหมายปกติทั่วไปดี ในเรื่องนี้ “รัฐบาลปัจจุบัน” ก็มีแผนจะยกเลิกกฎหมายพิเศษเหล่านี้อยู่แล้วเพียงแต่ต้องใช้เวลาปรับระดับการปฏิบัติ 1-2 ปี

...

ถัดมาคือ “การปรับยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาในพื้นที่ 3 จชต.” เดิมใช้กำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 4 ผสมกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง และทหารพราน ในการปฏิบัติหน้าที่แต่ปัจจุบันนี้ “นโยบายรัฐบาลชุดใหม่” จะปรับกองกำลังมุ่งเน้นให้พลเรือนเป็นเจ้าภาพหลักแทน “ทหาร” ในช่วงแรกจะใช้ทหารขึ้นยุทธการเป็นพี่เลี้ยงไปชั่วคราวก่อน

ถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะค่อยๆ “ปรับกองกำลังทหารลง” แล้วถอนกลับไปยังที่ตั้งรอรับคำสั่งตามบทบาทภารกิจหลัก “รักษาอธิปไตย” ในการป้องกันอริราชศัตรูจากนอกประเทศ “สนับสนุนการปฏิบัติงานฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ในการป้องกันปราบปรามการลักลอบสิ่งผิดกฎหมายตามแนวชายแดนต่อไป

เช่นนี้แล้วยอมจะส่งผลดีต่อ “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” เพราะการใช้พลเรือนเป็นกำลังหลักในการปฏิบัตินั้นจะลดบรรยากาศความตึงเครียดได้ดี “ประชาชนก็จะไว้เนื้อเชื่อใจสูงขึ้น” ทำให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมทั้งภายใน และต่างประเทศอย่างองค์การมุสลิมโลก อาจเข้ามาเกื้อกูลให้เกิดการลงตัวเร็วขึ้นตามมาได้

ต่อมาในส่วน “คณะผู้แทนพูดคุยสันติสุขระดับนโยบาย” เนื้อหาหลักยังเน้นหลักการพูดคุยกับ “ขบวนการก่อความไม่สงบ” ด้วยการใช้มาเลเซียในฐานะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดพื้นที่ปลอดภัยให้มีการพูดคุยกัน “มิใช่เป็นหลักเจรจา” เพราะจะเป็นเงื่อนไขก่อ “คนกลาง” เข้ามามีบทบาทชี้นำตัดสินความขัดแย้งได้

สาเหตุต้องพึ่งพา “มาเลเซีย” เป็นผู้อำนวยความสะดวกจัดพื้นที่พูดคุยนั้น เพราะกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบตกอยู่ในฐานะผู้กระทำผิดกฎหมายไทย “หากจัดการพูดคุยในประเทศต้องจับกุมดำเนินคดี” แน่นอนว่าในอนาคตอาจพัฒนาปรับแก้ให้เกิดช่องว่างออกเป็นกฎหมายมารองรับการพูดคุยเจรจาสันติสุขในประเทศก็ได้

แต่ในระหว่างนี้จำเป็นต้องใช้ “มาเลเซีย” เป็นเวทีพูดคุยกันไปก่อน “เพื่อให้พื้นที่ 3 จชต.มีความปลอดภัย” แล้วการพูดคุยกันนี้ก็มีข้อตกลง “ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขกรอบรัฐธรรมนูญไทย” นั่นก็แปลว่าประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวแบ่งแยกออกจากกันไม่ได้ ดังนั้นกระบวนการแบ่งแยกดินแดนย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นแน่นอน

สุดท้ายสันติภาพจะเกิดขึ้น “บรรยากาศในพื้นที่ 3 จชต.” ต้องเกื้อกูลให้เกิดการมีส่วนร่วมพูดคุยแสดงออกทางความคิดได้เสรี “ถ้ากระบวนการทั้งหมดขับเคลื่อนได้” ทิศทางความรุนแรงจะลดใน 1 ปี.