หมอล็อต นำทีมสำรวจ โพรง "ต้นช้าม่วง" อายุกว่า 100 ปี ที่นครศรีธรรมราช หลังมีคนป่วยโรคฮิสโตพลาสโมซิส ติดเชื้อราในปอด จากมูลค้างคาว ย้ำชาวบ้านอย่าตระหนก

จากกรณี นายแพทย์ออกมาเตือนว่า พบนักท่องเที่ยวที่เดินเข้าไปชมค้างคาวในโพรง "ต้นช้าม่วง" โพรงต้นไม้ใหญ่ในป่า เพื่อชมค้างคาวในเวลาเพียง 2-15 นาที ป่วยเป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส เนื่องจากหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราฮิสโตพลาสมา แคปซูลาตุม (Histoplasma capsulatum) จากมูลค้างคาวที่ลอยอยู่ในอากาศ เข้าไปในปอด

ความคืบหน้า วันที่ 5 ตุลาคม 2565 ที่หมู่ 5 บ้านวังหีบ ต.นาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช น.สพ.ภัทรพล มณีอ่อน หัวหน้ากลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นครศรีธรรมราช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทีมอาจารย์และนักวิทยาศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัย ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง มูลค้างคาว และดินภายในโพรงต้นไม้ รวมถึงสวอปผนังโพรงต้นไม้ดังกล่าว เพื่อตรวจหาเชื้อโรคต่างๆ ทางห้องปฏิบัติการ และวางแผนที่จะทำการสำรวจ เฝ้าระวังโรคเชิงรุกในพื้นที่

...

โดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยงได้ตีแนวเส้นล้อมจำกัดพื้นที่รัศมี 10 เมตร ป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้ต้นไม้ หรือเข้าไปในโพรงต้นไม้ที่มีค้างคาวอาศัยอยู่ และเตรียมกำหนดเป็นพื้นที่พิเศษในการให้ความรู้ และป้องกันไม่ให้ค้างคาวเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือเคลื่อนย้ายถิ่น

จากการสำรวจต้นไม้ พบว่า เป็นต้น "ช้าม่วง" ขนาดใหญ่ อายุกว่าร้อยปี ด้านนอกมีโพรงขนาดคนเข้าไปได้ ข้างในเป็นโพรงขนาดใหญ่ คนสามารถเข้าไปได้ประมาณ 7 คน และมีค้างคาวอาศัยอยู่ เช่น ค้างคาวแวมไพร์แปลงเล็ก โดยสภาพแวดล้อมในโพรงต้นไม้เหมาะแก่การอาศัยของค้างคาว และการเจริญเติบโตของเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อราชนิดต่างๆ ซึ่งอุณหภูมิ ความชื้น มีช่องทางเข้าออกทางเดียว ลมไม่พัดผ่าน โอกาสที่จะพบความเข้มข้นของเชื้อราในอากาศจะสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ เหมาะสมเป็นอย่างมากกับการเจริญเติบโตของเชื้อ

เมื่อคนเข้าไปในช่วงกลางวัน ซึ่งค้างคาวกำลังนอนพักนั้น การส่งเสียงดัง การถ่ายภาพ แสงแฟลช การส่องไฟ จะทำให้ค้างคาวตกใจ เครียด อึ ฉี่ และส่งเสียงร้อง ทำให้เชื้อโรคต่างๆ ฟุ้งกระจายในโพรงได้ หากคนเข้าไปแล้วไม่ใส่หน้ากาก ก็อาจสูดเอาเชื้อโรคดังกล่าวเข้าไปได้ หรือถึงแม้ว่าใส่หน้ากากอนามัย ก็อาจทำให้ร่างกายปนเปื้อนจากสารคัดหลั่งจากค้างคาว และอาจเกิดโรคขึ้นมาได้

โดยคณะทำงานได้แนะนำแนวทางปฏิบัติให้แก่ชาวบ้านบริเวณพื้นที่ ถึงข้อควรระวัง และหากเคยเข้าไปในโพรงต้นไม้ต้นนี้โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย ควรไปพบแพทย์เพื่อเอกซเรย์ปอด และแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่ามีประวัติ เนื่องจากแม้จะอายุน้อย สุขภาพแข็งแรง มีการติดเชื้อรา ส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่แสดงอาการ หายเองได้ ไม่ต้องรักษา แต่คนที่อายุมาก มีโรคประจำตัว ต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา

ซึ่ง กรมอุทยานฯ ได้จัดทำคู่มือความรู้ “การอยู่ร่วมกันกับค้างคาวอย่างปลอดภัย” แจกจ่ายให้กับประชาชนด้วย

ด้าน นพ.สุทธิพจน์ ชยณัฎพงศ์ รักษาการนายแพทย์ สสจ.นครศรีธรรมราช พร้อม นพ.ปณิธาน สื่อมโนธรรม ผอ.รพ.ทุ่งสง เข้าพื้นที่ ก่อนเปิดเผยว่า โรคนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่ ถือเป็นโรคที่ไม่น่ากลัว เพราะไม่สามารถติดต่อคนสู่คนได้ เชื้อนี้จะอยู่ในมูลของค้างคาวหรือนก หรือสัตว์ปีกทั้งหลาย

การดำเนินของโรคจะมี 3 รูปแบบคือ การสูดเข้าปอด, การมาติดตามผิวหนังที่เป็นแผล จะทำให้หายยาก ปกติเป็นแผล 2-3 วันจะหาย แต่หากเป็น 1-2 เดือนยังไม่หาย ให้สงสัยว่าเป็นเชื้อรา อีกกลุ่มหนึ่งที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องก็จะมีการกระจายไปทั่วร่างกาย จะมีต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต แต่เป็นเชื้อราที่รักษาได้ มียาฆ่าเชื้อรา

อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก เนื่องจากเป็นโรคที่พบเจอได้ และไม่ได้ติดต่อกันง่าย 

...

ด้าน นายยงยุทธ มณีฉาย ชาวบ้านในพื้นที่ และเป็นผู้นำทางคณะศึกษาธรรมชาติในวันดังกล่าว เผยว่า มีนักท่องเที่ยวมาติดต่อว่า จะพาเด็กไปเที่ยว ตนก็คิดว่าเด็กมาแล้วคงอยากเห็นต้นไม้ที่มีโพรงขนาดใหญ่แปลกๆ จึงพาไปในโพรงต้นไม้ โดยตนเข้าไปเป็นคนแรก เพื่อตรวจความเรียบร้อย ก่อนที่เด็กจะเดินเข้าไปทีละคน และถ่ายรูปค้างคาวที่นอนอยู่ 3-4 ตัว

จากนั้นก็มีคนโทรมาบอกตนว่า เด็กที่เข้าไปในโพรงวันนั้นมีอาการผิดปกติ ติดเชื้อราที่ปอด ตนก็ตกใจ และอยากให้ตนไปตรวจสุขภาพด้วย ซึ่งเมื่อตนไปตรวจที่ รพ.ทุ่งสง เอกซเรย์แล้วก็ไม่พบว่ามีการติดเชื้อใดๆ.