กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้แจง ผลตรวจปืนของ 2 คนร้ายที่ถูกยิงตาย เหตุปะทะ จนท.ที่ อ.สายบุรี ยืนยันชัดใช้ก่อเหตุฆ่าแล้วเผา 3 ศพ พ่อลูกตระกูลกิตติประภานันท์ รวมทั้งเหตุสะเทือนขวัญอีกจำนวนมาก
ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายเข้าบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อ 20 ม.ค.65 เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต 2 ราย คือ นายมารวาน มีทอ และนายรอซาลี เจะเลาะ มีหมายจับรวมกัน 14 หมาย ตรวจยึด ปืนเล็กยาว AK 47 และ AK 102 อย่างละ 1 กระบอก และลูกระเบิดขว้างแบบ 88 จำนวน 1 ลูก
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 21 ม.ค.2565 กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รายงานผลการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์พบว่า อาวุธปืนสงครามของคนร้ายทั้ง 2 กระบอก เคยใช้ในการก่อเหตุมาแล้ว 11 คดี มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวม 16 ราย ประกอบด้วย อาวุธปืน AK 102 ของคนร้ายได้ถูกปล้นมาจากฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองหมู่บ้านกะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เมื่อปี 2555 หลังจากนั้นได้ถูกนำไปใช้ก่อเหตุความรุนแรงเรื่อยมาถึง 7 คดี ทั้งเหตุกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเหตุการณ์ประกบยิงและจุดไฟเผา 3 พ่อลูกตระกูลกิตติประภานันท์ บนถนนสาย 42 จนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ในเขตพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 24 เม.ย.64 ส่วนอาวุธปืน AK 47 พบว่า ใช้ก่อเหตุมาแล้ว 4 คดี ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน

...
จากประวัติและพฤติกรรมของคนร้าย รวมทั้งผลการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มีหลักฐานบ่งชัดว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย เคยก่อเหตุความรุนแรงที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่กดดันให้ต้องเป็นโจร ดังที่เครือข่ายแนวร่วมพยายามบิดเบือนในสื่อโซเชียลแต่อย่างใด
กอ.รมน.ภาค 4 สน. ขอแสดงความเสียใจกับทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้นโดยขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้ดุลยพินิจและความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวังโดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักเพื่อนำคนร้ายเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายโดยไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียแต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น ทั้งนี้ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์ของการแก้ปัญหาในเชิงสันติวิธีที่พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างจากรัฐเข้ารายงานตัวแสดงตนเพื่อเข้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม โดยสามารถแจ้งผ่านผู้นำในพื้นที่ บุคคลที่ไว้วางใจหรือแจ้งผ่านสายด่วนแม่ทัพภาคที่ 4 : 061-1732999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้าน พ.อ.ทวีพร คณะทอง ผบ.ฉก.ทพ.43 ระบุว่า การปิดล้อมตรวจค้นที่ผ่านมาเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการกดดันและปิดช่องว่างไม่ให้กลุ่มก่อความไม่สงบฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์หรือก่อเหตุรุนแรงเพื่อหวังสร้างสถานการณ์ ซึ่งหากคนร้ายมีโอกาสก่อเหตุ แน่นอนว่าความเสียหายและความสูญเสียก็จะเกิดขึ้น จริง ๆ แล้วฝ่ายเจ้าหน้าที่มีความพยายามที่จะไม่ให้เกิดความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ซึ่งทุกครั้งที่มีการปิดล้อมโดยการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็พยายามเจรจาเกลี้ยกล่อมให้คนร้ายออกมามอบตัว ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ก็ให้ความร่วมมือในการเจรจาอย่างดีมาตลอด แต่คนร้ายไม่ให้ความร่วมมือ และมีการยิงต่อสู้ทุกครั้ง

เจ้าหน้าที่ก็ต้องระวังตัวและหากต้องเผชิญหน้าก็ย่อมเข้าใจกันดีว่าจะต้องมีการตอบโต้ และก็มีหลายครั้งเมื่อมีการปิดล้อม ผู้หลงผิดก็ยินยอมออกมามอบตัว ซึ่งก็ไม่เกิดความสูญเสีย ซึ่งทางแม่ทัพภาคที่ 4 ท่านย้ำเสมอว่า อย่าให้เกิดการสูญเสียหากกระทำได้ และประชาชนต้องปลอดภัย สิ่งนี้ตนในฐานะหัวหน้าหน่วยได้ย้ำลูกน้องเสมอ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับทุกฝ่ายที่สูญเสีย และขอฝากให้ผู้ที่หลงผิด หรือพร้อมที่จะมอบตัวสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม เราพร้อมที่จะเปิดโอกาสตลอดเวลา.
...