กรณีสาววัย 18 ปี ไปทำงานมาเลเซียแล้วคลอดลูกไว้ แต่จำเป็นต้องกลับมาต่อวีซ่าที่ไทย แต่ติดล็อกดาวน์โควิด ไปรับลูกกลับไม่ได้วอนคนช่วย ล่าสุด คนใจดีและศอ.บต.เตรียมหาทางพาเด็กกลับเมืองไทยแล้ว

จากกรณีที่นางสาวนูรฮาลีซา เจะอาแว อายุ 18 ชาวบ้าน หมู่ 1 ตำบลกะรุบี อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ได้คลอดลูก ที่โรงพยาบาล kajang ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นการคลอดก่อนกำหนด ทำให้ลูกมีอาการป่วยต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าว จากนั้น วันที่ 18 มีนาคม 2563 จำเป็นต้องเดินทางกลับไทยเพื่อต่อวีซ่าที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เมื่อทำธุระเสร็จจะเข้ากลับไปรับลูกที่ประเทศมาเลเซียทันที

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าไม่สามารถเข้าประเทศมาเลเซียได้ เพราะมาเลเซียได้ปิดประเทศ สาเหตุสถานการณ์โควิค-19 กำลังระบาด ดังนั้น จึงได้เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดปัตตานี เพื่อตั้งหลัก หาเงิน หางานทำ แต่งานไม่มี งานหายาก และสุดท้ายหาทางเข้ามาเลเซียแต่ก็เข้าไม่ได้ ซึ่งได้พลัดพรากจากลูกมา 3 เดือนกว่า ทำให้กังวลใจ ขณะหน้าลูกยังไม่เคยเห็น จึงวอนหน่วยงานรัฐ หรือผู้ใจบุญช่วยรับลูก ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

...

ผู้สื่อข่าวรายงาน ล่าสุด วันที่ 18 ก.ค. 2563 เกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวว่า หลังจากที่ข่าวนี้ ได้แพร่ออกไปตามสื่อแล้วทำให้ทั้งประชาชนและหน่วยงานรัฐ รวมทั้ง นักการเมือง ได้ติดต่อมามาสอบถามและขอหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เดือดร้อนจากผู้สื่อข่าวอย่างต่อเนื่อง

นางสาวนูรฮาลีซา เจะอาแว กล่าวว่า ขณะนี้ ได้มีประชาชนผู้ใจบุญได้เข้ามาบริจาคเงินบ้างแล้ว และได้โทรพูดคุยความเป็นมาของเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ได้มีหน่วยงานภาครัฐ ศอ.บต. ได้เรียกตนไปพบ และได้มีการพูดคุยหาทางออก เพื่อจะไปรับลูกตนที่ประเทศมาเลเซีย

แม่ผู้พลัดพรากจากลูกแรกเกิด กล่าวต่อว่า ทาง ศอ.บต บอกว่า ได้ติดต่อดำเนินการไปยังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ให้ประสานงานกับโรงพยาบาล kajang รัฐ selagor ว่าหากเป็นไปได้ ให้ทางโรงพยาบาลดังกล่าว นำส่งลูกของนางสาวนูรฮาลีซา ด้วยรถโรงพยาบาลมาส่งถึงด่านนอก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ที่เป็นชายแดนไทยมาเลเซีย จากนั้น ศอ.บต. จะช่วยเหลือไปรับ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานงาน และรอคำตอบจากโรงพยาบาลประเทศมาเลเซียว่าสามารถส่งมาได้หรือไม่

นางสาวนูรฮาลีซา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ รู้สึกดีใจและสบายใจมากขึ้น ที่มีหน่วยงานรัฐเริ่มเข้ามาช่วยเหลือ และมีประชาชนที่ได้บริจาคเงินช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว ตนจะเก็บไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาและผ่าคลอดของลูก และขอขอบคุณสื่อที่นำเสนอข่าวนี้ ทำให้น้ำใจของคนไทยทุกคน และหน่วยงานภาครัฐ ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว.