เจอตัวแล้ว “หลวงเต้” อดีตพระลูกวัดพระมหาธาตุฯ เมืองคอน หลังตระเวนฉ้อโกงวัดและญาติโยมทั่วประเทศ สร้างความเสื่อมเสีย มีโพสต์เตือนจากคณะสงฆ์ แต่ไม่มีใครเป็นผู้เสียหาย ได้แต่จับสึก แล้วถ่วงเวลารอให้มีคนแจ้งความ
เวลา 22.00 น. วันที่ 17 ก.พ. พ.ต.ท.ธีระวุฒิ เทพเลื่อน รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งจากพระภิกษุสงฆ์วัดหน้าพระบรมธาตุ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ว่า พระบวร เหล่าทะนนท์ หรือท่านเต้ หรือหลวงเต้ ที่ตระเวนไปแอบอ้างว่าเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หลอกลวงวัดและญาติโยมในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ได้เงินไปหลายแสนบาท จนทางวัดและคณะสงฆ์หลายแห่งได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่ายในเฟซบุ๊กและกลุ่มไลน์คณะสงฆ์ เพื่อประกาศเตือนวัด และญาติโยม ให้ระมัดระวังอย่าหลงเชื่อพระบวร หรือ “ท่านเต้” และหากพบตัวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมดำเนินคดีทันที ซึ่งในขณะนี้พระบวร เหล่าทะนนท์ หรือ “ท่านเต้” ได้แอบเข้ามาขอพำนักชั่วคราวบนตึกชั้น 2 วัดหน้าพระบรมธาตุ อ.เมืองนครศรีธรรมราช
เมื่อไปตรวจสอบพบ “ท่านเต้” พักอยู่ในห้องชั้นบนตึกของวัด พ.ต.ท.ธีระวุฒิ เทพเลื่อน จึงได้สอบถามไปยังจังหวัดต่างๆ ที่มีการโพสต์กล่าวหา “ท่านเต้” พบว่าแม้จะมีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่ยังไม่มีผู้ใดแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดี เจ้าหน้าที่จึงไม่มีอำนาจในการจับกุมหรือควบคุมตัว ทำได้แค่การวางกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ไว้ภายในวัดเท่านั้น
ขณะเดียวกันในโลกโซเชียลได้มีการแชร์โพสต์ของพระปลัดภูริวิต ภูริปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดพรหมวาศรี หมู่ 9 บ้านโพธิ์ชัย ต.วานรนิวาส อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เลขานุการเจ้าคณะอำเภอวานรนิวาส จ.สกลนคร ซึ่งเพิ่งโพสต์ภาพพระบวร เหล่าทะนนท์ หรือ “ท่านเต้” พร้อมข้อความเตือนภัยเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 17 ก.พ ความว่า
...
"...ห่มเหลืองบุคคลอันตราย...ประกาศด่วนวัดต่างๆระวังกันด้วย บุคคลที่เห็นในขณะนี้ชื่อพระบวร เหล่าทะนนท์ มาจากภาคใต้นครศรีธรรมราช ได้มาหลอกทางวัดและชาวบ้านโพธิ์ชัย ว่าจะทำผ้าป่ามา โดยมาพักอยู่วัด 1 สัปดาห์ แล้วถ่ายภาพงานก่อสร้างในวัด เพื่อไปหากิน โดยการเอาไปหลอกให้โยมโอนเงินมาร่วม โดยใช้ชื่อวัดแอบอ้าง แล้วมีโยมท่านนึงโอนเงินให้เขาไป 1 แสนบาท...ใครที่รู้จักช่วยจัดการที ทำเสื่อมเสียพุทธศาสนาโดยการมาถ่ายภาพงานปั้นงานก่อสร้างในวัด แล้วเอาไปหลอกญาติโยม" มีการแชร์โพสต์ของพระปลัดภูริวิต ภูริปญฺโญ มาในเพจเฟซบุ๊กและกลุ่มไลน์ต่างๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมระบุว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปิดล้อมเพื่อเข้าจับกุมตัว “ท่านเต้” พักอยู่ในห้องชั้น 2 บนตึกวัดหน้าพระบรมธาตุ
ต่อมา “ท่านเต้” ได้ไหวตัวรีบลงมาจากตึกเพื่อหลบหนี แต่เมื่อลงมาถึงพบเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้านล่าง และนิมนต์ไปสอบสวนที่โรงพัก แต่พระบวร หรือ “ท่านเต้” อ้างว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีหมายจับหรือพยานหลักฐานจะมาจับกุมหรือควบคุมตัวไม่ได้เด็ดขาด จนกระทั่งพระครูปคุณเจติยกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหน้าพระบรมธาตุ เข้ามาไกล่เกลี่ยและขอนิมนต์ “ท่านเต้” ไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เนื่องจาก “ท่านเต้” อ้างว่าสังกัดอยู่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ ส่วนวัดหน้าพระบรมธาตุ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย
ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.พระครูสิริธรรมาภิรัต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร พร้อมคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติได้เดินทางมาถึง โดยมีพระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมเจรจาเกลี้ยกล่อมให้พระบวร หรือ “ท่านเต้” เห็นแก่พระพุทธศาสนา ขอให้ยอมลาสิกขา หรือสึกจากพระ แต่พระบวรไม่ยอมสึก อ้างว่าไม่ได้ทำความผิดอะไร ทางคณะสงฆ์จะต้องมีพยานหลักฐานการกระทำผิดมายืนยันจึงจะยอมสึกจากพระ
ขณะที่พระภิกษุที่ทราบเรื่อง ต่างพากกันมาสังเกตการณ์ด้วยความสนใจ พร้อมเรียกร้องให้พระบวร หรือ “ท่านเต้” สึกจากพระ เพราะได้สร้างความเสื่อมเสียแก่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในบวรพระพุทธจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ โดยเริ่มตั้งแต่ฉ้อโกงเงินวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารไป 1 แสนบาท และถูกไล่ออกจากวัด เมื่อเรื่องเงียบก็กลับมาก่อเรื่องเสื่อมเสียซ้ำซาก คณะสงฆ์จะจับสึกก็หลบหนีออกจากวัด จนคณะสงฆ์ (ธรรมยุติ) ได้ประกาศให้พ้นจากความเป็นพระไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปบวชอีกที่วัดหรือกับพระอุปัชฌาย์รูปใด เมื่อไหร่ หรือแอบห่มจีวรด้วยตัวเองตระเวนก่อเรื่องหลอกลวงวัดและญาติโยมไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบไม่พบใบสุทธิของพระสงฆ์ แต่พบบัตรประจำตัวประชาชนระบุชื่อ “พระบวร เหล่าทะนนท์” อายุ 49 ปี ที่อยู่เลขที่ 435 ถนนราชดำเนิน ต.ในเมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเลขที่ของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ในช่วงนั้น พระปลัดภูริวิต ภูริปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดพรหมวาศรี หมู่ 9 บ้านโพธิ์ชัย ต.วานรนิวาส อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เลขานุการเจ้าคณะอำเภอวานรนิวาส จ.สกลนคร พร้อมญาติโยมที่เสียหายหลายรายได้โทรศัพท์ประสานมายัง ผศ.ดร.พระครูสิริธรรมาภิรัต พร้อมระบุว่าอย่าเพิ่งปล่อยตัว “ท่านเต้” เพราะในขณะนี้ทางวัดและญาติโยมที่เสียหายกำลังรวมตัวกันเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะรีบเดินทางมาจังหวัดนครศรีธรรมราชทางเครื่องบินเที่ยวแรกของเช้าวันที่ 18 ก.พ. เมื่อทราบว่าจะมีผู้เสียหายรวมตัวแจ้งความและจะเดินทางมาที่ จ.นครศรีธรรมราช “ท่านเต้” จึงรีบรับปากว่าจะยอมสึกและจะออกจากวัดไปทันที ทางคณะสงฆ์จึงตอบตกลงก่อนจะทำพิธีลาสิกขาพระบวรไปเป็นฆราวาส ซึ่งหลังสึกเสร็จแล้วพระบวร หรือนายบวร เหล่าทะนนท์ หรือเต้ ได้นุ่งขาวห่มขาวแต่ได้นำเอาสบง จีวรใส่ในย่าม และจะรีบเดินทางออกจากวัด อ้างว่าจะไปนอนที่ บขส. เพื่อโดยสารรถทัวร์กลับบ้านเกิด จ.ราชบุรี ในเช้าตรู่วันที่ 18 ก.พ. แต่ปรากฏว่าทางพระไม่ยอมให้นายบวรนำสบงกับจีวรไปด้วย เพราะเกรงว่าเมื่อพ้นจากวัด นายบวร หรือเต้ จะนำเอาสบง จีวร มาห่มอีกครั้ง และตระเวนก่อเรื่องฉาวโฉ่สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการสงฆ์และพระพุทธศาสนาอีกอย่างแน่นอน
...
ทางด้าน พ.ต.ท.ธีระวุฒิ เทพเลื่อน ได้ทำการเชิญตัวนายบวร หรือเต้ ไปสอบสวนที่โรงพัก และขอทำการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด เพื่อถ่วงเวลาให้ทางผู้เสียหายเข้าแจ้งความและเดินทางมาชี้ตัวผู้ต้องหา เพื่อสามารถดำเนินคดีได้ตามขั้นตอนกฎหมาย ท่ามกลางความโล่งใจของพระภิกษุสงฆ์
ผศ.ดร.พระครูสิริธรรมาภิรัต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร กล่าวว่า พระบวร หรือ “หลวงเต้” บวชเป็นพระที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.ราชบุรี ก่อนจะเดินทางมาเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช เมื่อปี 2549 และขอพำนักอาศัยที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จนเรียนจบระดับปริญญาตรี และจะเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างจังหวัดราชบุรีกับจังหวัดนครศรีธรรมราช ในระยะหลังพระบวรหรือนายบวรมีปัญหาด้านสมองทำให้พูดจากวกไปวนมาสับสน มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ จนทางคณะสงฆ์เห็นว่าสติสัมปชัญญะไม่ปกติ ไม่สามารถที่จะครองผ้าเหลืองต่อไปได้ จึงจะจับสึกตามกฎของสงฆ์ แต่พระบวรได้หลบหนีออกจากวัด ทางคณะสงฆ์จึงไล่ออกจากวัด และประกาศให้พ้นจากความเป็นพระ
แต่นายบวรยังคงห่มจีวรและตระเวนก่อเหตุหลอกลวง ฉ้อโกงวัดและญาติโยมหลายแห่งทั่วประเทศ โดยอ้างว่าเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จนมีเจ้าอาวาสและญาติโยมโทรศัพท์มาสอบถามและแจ้งเรื่องราวการกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง จนอธิบายชี้แจงแทบไม่หวาดไหว และพระสงฆ์รวมทั้งญาติโยมหลายรายได้โพสต์เตือนภัยในโลกโซเชียล คาดว่านายบวร ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อีกจึงย้อนกลับมา จ.นครศรีธรรมราช แต่ไม่กล้ากลับมาที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยไปขอจำวัดที่วัดหน้าพระบรมธาตุ ซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จนพระสงฆ์ที่จำได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมโพสต์แจ้งทางโซเชียล นำมาสู่การจับสึกจากพระเป็นผลสำเร็จ
...
"ทางคณะสงฆ์และวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ได้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับนายบวร โดยการจับสึกอย่างเป็นทางการและออกจากวัดไปเรียบร้อยแล้ว และพรุ่งนี้ (18 ก.พ.) จะได้เข้าแจ้งต่อนายทะเบียนบ้านวัด เพื่อคัดชื่อพระบวรออกจากทะเบียนบ้านวัด หลังจากนั้นก็ปล่อยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและบรรดาผู้เสียหายที่ต้องว่ากันไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และในโอกาสต่อไปหากใครพบว่านายบวรยังห่มจีวรอีกก็สามารถแจงเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์" ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร กล่าวในที่สุด.