สิ้นใจแล้ว คุณลุงวัย 68 ที่ตรัง เหยื่องูเห่ากัด แพทย์ไม่ฉีดเซรุ่มจนอาการทรุดหนัก พร้อมข้อครหาให้ “ยาธาตุน้ำขาว” กับคนไข้ นอนรักษาตัวนานถึง 40 วัน ญาติเจรจาขอ “เยียวยา” เพราะไม่มีเงินต่อสู้เรื่องคดีความ
วันที่ 9 ส.ค.62 ที่วัดห้วยยอด จ.ตรัง ญาติได้รับศพ นายจำรัส ซุ่นสั้น อายุ 68 ปี ชาวบ้านหมู่ 7 ต.ทุ่งต่อ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งได้เสียชีวิตลงหลังถูกงูเห่ากัดตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานถึง 40 วัน นำศพมาบำเพ็ญกุศล ทำพิธีรดน้ำศพ โดยมีนางพจนา วงศ์สว่างศิริ หัวหน้าพยาบาล รพ.ห้วยยอด พร้อมด้วย นายสมัคร ตันกุลโรจน์ ประธาน อสม.อำเภอห้วยยอด และเจ้าหน้าที่ รพ.ห้วยยอด เดินทางมารดน้ำศพในฐานะตัวแทนของ นายแพทย์ปิยวิทย์ เนกขพัฒน์ ผอ.รพ.ห้วยยอด ซึ่งติดภารกิจด่วนที่กรุงเทพฯ บรรดาญาติๆ และลูกต่างร่ำไห้เสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพ่อ
เหตุการณ์นี้สืบเนื่องจากที่ นายจำรัส ถูกงูเห่าฉกเข้าที่เหนือตาตุ่มขวา เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ญาติได้นำตัวส่ง รพ.ห้วยยอด โดยตีงูเห่าตัวดังกล่าวจนตาย พร้อมนำมาให้แพทย์ แต่แพทย์ไม่ยอมดู และไม่ได้ฉีดเซรุ่มแก้พิษงูให้กับนายจำรัสตั้งแต่วันเกิดเหตุ โดยให้เหตุผลว่าผู้ตายไม่มีข้อบ่งชี้ว่าถูกงูกัด เช่น ไม่มีอาการง่วงซึม หรือตาเบลอ จึงทำแค่ล้างแผลและให้ยาฆ่าเชื้อ แต่ระหว่างที่นอนรอดูอาการ ญาติบอกว่าคนไข้ปวดท้อง แต่แพทย์กลับให้ยาธาตุน้ำขาวมากิน
กระทั่งวันที่ 4 ก.ค.62 อาการทรุดหนัก บาดแผลที่ถูกงูกัดเริ่มเปื่อย เนื้อรอบบาดแผลเริ่มตายเป็นวงกว้าง แพทย์จึงเบิกเซรุ่มมาฉีดให้ และนำตัวส่งต่อไปรักษาที่ รพ.ศูนย์ตรังในวันเดียวกัน ก่อนจะตัดแต่งเนื้อที่เน่าเปื่อยออกไป แต่อาการลุงจำรัสยังไม่ดีขึ้น ทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นใจตายเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 9 ส.ค. ใช้ระยะเวลาในการรักษานานถึง 40 วัน
...
นางสุพิศ ทองแท้ อายุ 49 ปี ลูกสาวผู้เสียชีวิต พร้อมน้องสาว และญาติๆ เผยว่า คุณพ่อได้เสียชีวิตลงเมื่อเวลาประมาณ 12.56 น. วันที่ 9 ส.ค.62 ที่ รพ.ศูนย์ตรัง หลังนอนรักษาตัวอยู่นานกว่า 1 เดือน โดยทางทีมแพทย์ได้ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตในครั้งนี้มาจาก “โรคติดเชื้อแทรกซ้อนจากแผลงูกัด เป็นเหตุทำให้เสียชีวิต” และในเบื้องต้นญาติขอเจรจาเพื่อเยียวยา เพราะไม่มีเงินต่อสู้เรื่องคดีความ
“เชื่อว่าประธาน อสม.ห้วยยอด ในฐานะคณะกรรมการการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการตามมาตรา 41 จะจัดการให้ แต่ยังไม่ได้ตั้งตัวเลขไว้ คงต้องคุยกันอีกครั้งหลังเสร็จงานศพของพ่อ ทางญาติปรึกษากันว่าจะไม่ฟ้องหากไม่จำเป็น แต่หากได้รับความเป็นธรรมและเงินเยียวยาตามความเหมาะสม เนื่องจากการฟ้องร้องต้องใช้เงินจำนวนมาก และเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาล อีกทั้งครอบครัวฐานะยากจน คงไม่มีปัญญาจะไปต่อสู้กับใคร และไม่มีอะไรติดใจแล้ว อยากให้พ่อไปสบาย แต่เรื่องที่ติดใจในการรักษาครั้งนี้ มันคงติดอยู่ในใจเรา แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง”
ขณะที่ นางพจนา วงศ์สว่างศิริ หัวหน้าพยาบาลฯ กล่าวว่า ท่าน ผอ.ติดราชการที่กรุงเทพฯ ตนมาในนามคนรู้จักกัน รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเฝ้าติดตามตั้งแต่วันแรก ส่วน ผอ.หลังเสร็จภารกิจคงจะเดินทางมาด้วยตัวเองเพื่อเจรจากับญาติต่อไป.