โครงการ “เฉลิมราชย์ราชา จิตอาสารักษ์น้ำ” ซึ่งเอสซีจีร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ชุมชน และเครือข่ายจิตอาสา ร่วมกันจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆที่ทำให้เราได้มีโอกาสมาเยือน เกาะลิบง...เกาะที่ใหญ่ที่สุดของ จ.ตรัง
ถ้าพูดถึงความสวยของทะเลลิบง...คงสู้ไม่ได้กับทะเลสวย ฟ้าใส หาดทรายขาวของหลายๆที่ แต่ถ้าวัดกันที่ความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชุมชนแล้ว...เชื่อว่าเกาะลิบงไม่เป็นสองรองใครแน่นอน

หลังลงเครื่องที่สนามบินจังหวัดตรัง เราก็เดินทางไปยังท่าเรือหาดยาวบ้านเจ้าไหมเพื่อลงเรือหัวโทง มุ่งหน้ายังเกาะลิบง ซึ่งระหว่างทางนอกจากจะได้ชื่นชมกับธรรมชาติอันสวยงามแล้ว ยังมีกิจกรรมตกหมึก...ที่ได้กูรูในพื้นที่มาเป็นคนคอยโค้ช แม้จะไม่ได้หมึกสักตัว...แต่ก็ได้ความรู้ใหม่ๆที่ไม่น่าจะมีสอนในห้องเรียนแน่นอน
เรือแล่นออกจากฝั่งมาอย่างช้าๆ แล้วก็หันหัวเรือแวะที่กระชังเลี้ยงกุ้งมังกรกลางทะเล กระชังไม่ใหญ่มาก แต่กุ้งมังกรที่เลี้ยงที่นี่ตัวโตสุดๆ คนเลี้ยงบอกว่า เขาไม่ต้องการเลี้ยงกุ้งมังกรจำนวนมาก แต่ต้องการกุ้งมังกรที่ตัวใหญ่ มีคุณภาพมากกว่า
...

ยังไม่ทันเหนื่อย เราก็มาถึงเกาะลิบง...คณะเปลี่ยนพาหนะจากเรือเป็นรถกระบะ เพื่อเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะ ซึ่งมีอยู่หลายที่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น หาดทุ่งหญ้าคา ชายหาดที่มีแนวหินวางตัวเรียงรายตลอดแนวของหาด ไฮไลต์ของหาดนี้ คือสะพานหิน...ซึ่งเป็นประติมากรรมธรรมชาติของหินชายหาดขนาดใหญ่ต่อกัน มีช่องว่างอยู่ด้านล่าง มองเผินๆเหมือนสะพานทอดยาวที่ทำจากหิน มาถึงเกาะลิบง...แล้ว ถ้าไม่ได้มาถ่ายรูป เช็กอินที่สะพานหิน เขาบอกว่ามาไม่ถึงเกาะลิบง
นอกจากนี้ บนเกาะลิบงยังมีจุดชมวิวที่สวยงาม เรียกว่า เขาบาตูปูเต๊ะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ เป็นภูเขาหินปูนความสูงประมาณ 200 เมตร นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาชมทุ่งหญ้าทะเลที่จุดนี้ เพราะรอบเกาะลิบงเป็นแหล่งหญ้าทะเลซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญของพะยูนที่ใหญ่ที่สุด ถ้าโชคดีอาจจะเห็นพะยูนมากินหญ้าทะเล นอกจากนี้ ยังมองเห็นวิวสวยๆของเกาะ และแหลมเจ้าไหมได้จากจุดนี้ด้วย

ปัจจุบันเกาะลิบงซึ่งเป็นแหล่งที่พบพะยูนมากที่สุด มีพะยูนอยู่มากกว่า 200 ตัว อัตราการตายเฉลี่ยไม่เกิน 5 ตัวต่อปี ซึ่งถือว่าไม่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ซึ่งขณะนี้บนเกาะลิบงกำลังมีโครงการสร้างหอชมพะยูนบริเวณเนินเขาบาตูปูเต๊ะให้ได้มาตรฐาน เมื่อสร้างเสร็จก็จะยกเลิกการท่องเที่ยวชมพะยูนทางเรือที่เป็นการรบกวนสัตว์ทะเลหายาก
อรุณสวัสดิ์ยามเช้าเกาะลิบง...ด้วยกาแฟหอมๆกับขนมปังปิ้ง ก่อนจะขึ้นรถลงเรือไปยังชุมชนบ้านมดตะนอย ต.เกาะลิบง ซึ่งมีพื้นที่ติดทะเลคลองบ้านมดตะนอยและคลองลัดเจ้าไหม เพื่อทำกิจกรรม “เฉลิมราชย์ราชา จิตอาสารักษ์น้ำ” ซึ่งคราวนี้ คณะของชาวเอสซีจีจะปลูกหญ้าทะเล 2,000 ต้น ในพื้นที่ 2 ไร่ ปลูกป่าโกงกางอีก 300 ต้น ในพื้นที่ 2 ไร่ และวางบ้านปลาจำนวน 20 หลัง ที่ชุมชนบ้านมดตะนอย เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนอันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภัยแล้งทั่วประเทศ

จุดแรกที่พวกเราได้ไปดูที่บ้านมดตะนอย ก็คือ สถานีเรียนรู้เพาะพันธุ์หญ้าทะเลและป่าชายเลน ซึ่งนอกจากเพาะหญ้าทะเลแล้ว ที่นี่ยังมีโครงการธนาคารปูม้าที่ให้ชาวประมงนำแม่ปูม้าที่มีไข่แก่ติดหน้าท้องมาฝากธนาคารไว้ พอไข่ฟักเป็นตัวอ่อนก็จะปล่อยออกสู่ธรรมชาติ เป็นการขยายพันธุ์ปูม้า ซึ่งคราวนี้ คุณศาณิต เกษสุวรรณ ผอ.ธุรกิจสัมพันธ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ร่วมปล่อยตัวอ่อนปูม้าเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้ทะเลตรังด้วย
...
และก็มาถึงกิจกรรมหลักของทริปนี้ นั่นก็คือ การปลูกหญ้าทะเล และป่าโกงกาง เพื่อเป็นทั้งแหล่งอาหารของพะยูนซึ่งมีมากที่สุดที่นี่ รวมทั้งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำด้วย
ทั้งทีมงานและสื่อมวลชนต่างช่วยกันคนละไม้ละมือปักต้นโกงกางลงไปในเลน ซึ่งพอได้ลงมือทำแล้ว ทำให้รู้เลยว่า การปลูกต้นไม้สักต้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่จะดูแลรักษาต้นไม้ให้ยั่งยืนต่อไปนั้น ต้องอาศัยทั้งความมุ่งมั่นและใส่ใจอย่างมากๆเลยทีเดียว และที่น่าภาคภูมิใจก็คือ กิจกรรมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ปลูกหญ้าทะเลซึ่งชุมชนเพาะพันธุ์ขึ้นเองลงทะเลตรัง และหลังจากที่พวกเราปลูกหญ้าทะเลแล้ว จะมีการวางทุ่นแนวเขตแหล่งหญ้าทะเล มีกติกาห้ามวางเครื่องมือประมงทุกชนิดในแนวหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของพะยูน เพื่อเป็นการจัดการที่ยั่งยืน

หลังปลูกหญ้าทะเลและโกงกางเสร็จ พวกเรามีโอกาสได้เที่ยวชม หาดมดตะนอย ซึ่งเป็นหาดเล็กๆ โค้งเว้ายาวประมาณ 1.3 กิโลเมตร ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แต่ก็เป็นชายหาดที่สวยงาม น้ำทะเลใสตื้นๆ หาดทรายกว้างสามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย
หลังกินอาหารทะเลเพราะมาทะเลจนอิ่มแปล้ ที่ร้านอาหารของรีสอร์ตบ้านมดตะนอย ตกบ่ายมีกิจกรรมหล่อ บ้านปลาซีเมนต์ เพื่อให้ปลาชั้นอนุบาลได้เติบโต ไม่ต้องออกไปถูกอวนหรือแหจับตั้งแต่ยังไม่ทันโต ซีเมนต์ที่ใช้ทำบ้านปลาคราวนี้ก็ไม่ธรรมดา เป็นนวัตกรรมปูนที่ทนต่อน้ำทะเลและไม่ทำลายหรือรบกวนระบบนิเวศ พอหล่อเสร็จก็ออกเรือนำบ้านปลาซีเมนต์ไปทิ้งลงคลองบ้านมดตะนอยในจุดที่ชาวบ้านศึกษาแล้วว่าไม่เป็นปัญหาต่อระบบนิเวศ และเรือที่สัญจรไปมา...เป็นอันเสร็จกิจกรรมชื่อเก๋ไก๋...จากภูผาสู่มหานทีคราวนี้
...

แม้จะมีเวลาเพียงแค่ 2 วัน...แต่ดูเหมือนสิ่งที่ทุกคนได้จากทริปนี้คือ ความสุขที่เกิดขึ้นเต็มหัวใจ
ได้รู้ว่าสุขที่ได้เป็นผู้ให้อิ่มเอมกว่าเป็นผู้รับยังไง...ก็คราวนี้ละ...!!!