ลูกสาวและภรรยา ด.ต.ปทส.ที่ประสบอุบัติเหตุที่สุราษฎร์ธานี เมาแล้วขับจึงถูกจับไปโรงพัก ก่อนจะอาการหนักทรุดจนโคม่าแล้วเสียชีวิต ครวญหากได้ตรวจร่างกายรักษาหลังอุบัติเหตุก่อนคงไม่มาตายแบบนี้...

จากกรณีเกิดอุบัติเหตุบนถนนสาย 41 จ.สุราษฎร์ธานี จนมีการโพสต์ในโซเชียลว่า ด.ต.ธีระศักดิ์ แพเพชร อายุ 45 ปี ผบ.หมู่กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) ผู้บาดเจ็บคดีเมาแล้วขับจากอุบัติเหตุ รถยนต์ของ ด.ต.ธีระศักดิ์ ได้ชนบริเวณล้อด้านท้ายของสิบล้อ ก่อนจะเสียหลักไปตกในร่องกลางถนน โดยที่มีอาการมึนเมา และไม่ยอมให้ จนท.ตรวจวัดแอลกอฮอลล์ ทั้งนี้ ด.ต.ธีระศักดิ์  ไม่น่าจะเสียชีวิต หากได้รับการรักษาก่อนถูกนำตัวเข้าห้องขัง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 เม.ย.2562  ทางญาติที่มาร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลศพ ที่บ้านเลขที่ 16 ม.8 ต.กรูด อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ยังคงอยู่ในความเศร้าเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหัน ของ ด.ต.ธีระศักดิ์ แพเพชร ซึ่งกำหนดสวดอภิธรรมศพวันที่ 18-22 เม.ย.และฌาปนกิจในวันที่ 23 ซึ่งคืนนี้ถือเป็นคืนที่ 2 หลังจากได้รับศพจากการชันสูตรเพิ่มเติมจากโรงพยาบาลสุราษฎร์ฯเมื่อวันที่ผ่านมา

...

ด้าน นางมยุรี แพเพชร อายุ 48 ปี และนางสาวพิมอักษร แพเพชร อายุ 18 ปี ลูกสาวและภรรยา ยังคงอยู่ในอาการเศร้าเสียใจเป็นที่สุด กับการจากไปที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น โดยมองว่าคนที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ควรจะได้รับการรักษาก่อนเข้าห้องขัง เหตุเกิดตั้งแต่เช้าหากเอาพ่อไปรักษาตั้งแต่เช้า คงไม่ทำให้พ่ออาการโคม่า และเสียชีวิตในที่สุด

สำหรับ ด.ต.ธีระศักดิ์ แพเพชร เป็นข้าราชการตำรวจ ปทส.กองกำกับการ 5 รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ฯ เป็นลูกชายคนสุดท้องจากพี่น้องที่เป็นชายรวมทั้งหมด 5 คน ปัจจุบันมีภรรยาและลูกสาว 2 คน ที่กำลังจะเรียนชั้น ม.1 และปริญญาตรี


อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.นิพล ชาตรี ผกก.สภ.ท่าฉาง ออกมาชี้แจงว่า หลังเกิดเหตุ ผู้ต้องหามีอาการเมาสุราหนัก ไม่ยอมไปโรงพยาบาล และพูดไม่รู้เรื่อง ทางเจ้าหน้าที่จึงพาตัวมาที่โรงพักเพื่อสงบสติอารมณ์ และให้นั่งในห้อง ศปก.โดยมีญาติคอยดูแลตลอด จนถึงช่วงเย็นของอีกวันจึงมีอาการผิดปกติจนต้องนำส่งโรงพยาบาลก่อนจะเสียชีวิต ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งสอบสวนพยานในที่เกิดเหตุ จากกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วนและรัดกุมเพื่อหาข้อเท็จจริง และรอผลชันสูตรจากแพทย์ ก่อนจะเชิญญาติมารับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย รวมทั้ง เตรียมเรียกคนโพสต์ข้อความบนโซเชียลมาสอบถามข้อเท็จจริงด้วย.