เปิดใจหนุ่มโปรแกรมเมอร์ หลังจับได้ใบแดง ไปเป็นทหารเกณฑ์ 2 ปี ตัดพ้ออาจจบอาชีพ ที่ปั้นมาตั้งแต่รายได้หลักร้อย จนหลักแสนต่อเดือน ชี้หากเป็นไปได้ ควรเปลี่ยนเป็นรับสมัครทหารเกณฑ์แทน ...

หลังจากโซเชียล มีการแชร์เรื่องราวของ นายณรงค์ฤทธิ์ หนูทอง หนุ่มวัย 25 ปี หรือ โอ๊ต ชาว จ.พัทลุง ที่จับได้ใบแดงในการคัดเลือกทหารเกณฑ์ เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวออกมาระบายความในใจผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า อาจจะต้องจบอนาคตอาชีพโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์ ที่ทำมากว่า 6 ปี เพราะต้องไปเป็นทหาร และกลัวว่าฐานลูกค้าจะหาย

ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบกับ นายณรงค์ฤทธิ์ ซึ่งมาเปิดร้านอยู่ที่ซอย 6 สะพานดำ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยใช้ชื่อร้านว่า CE.T Service ซึ่งบริการรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และโทรศัพท์มือถือ

โดย นายณรงค์ฤทธิ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่จับได้ใบแดงเป็นคนแรก และต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ที่ มทบ.46 จ.ปัตตานี ผลัด 2 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือ ช่วงที่ไปเป็นทหาร 2 ปี จะกระทบกับอาชีพโปรแกรมเมอร์ เพราะลูกค้าอาจจะหายหมดและต้องเริ่มต้นใหม่ จากปัจจุบันที่มีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ตนสะสมประสบการณ์การเขียนโปรแกรมไมโครคอนโทรลเลอร์ ซึ่งเป็นโปรแกรมเกี่ยวกับหุ่นยนต์ มา 6 ปี เริ่มต้นจากรายได้หลักร้อย ตั้งแต่วันละ 200-300 บาท จนปัจจุบันมีรายได้หลักหมื่นจนถึงหลักแสนต่อเดือน 

นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวว่า อาชีพโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์ กำลังไปได้ดี มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และเชื่อในฝีมือ จนมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หากไปเป็นทหารในช่วง 2 ปี กลัวว่าจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ดีเหมือนเก่า รวมทั้งเทคโนโลยี อาจจะเปลี่ยน และแรงบันดาลใจอาจขาดช่วง และอาชีพโปรแกรมเมอร์ก็เป็นเหมือนกับอนาคตของตัวเอง 

...

นายณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า การเป็นทหารก็มีส่วนดี เพราะได้รับใช้ชาติและมีวินัย แต่หากเป็นไปได้ควรเปลี่ยนไปเป็นทหารอาชีพเพราะมีคนจำนวนมากที่ต้องการสมัครเป็นทหาร ส่วนคนที่มีอาชีพอยู่แล้วก็จะได้ทำในสิ่งที่รักและความฝันของตัวเอง

นายณรงค์ฤทธิ์ บอกถึงเส้นทางอาชีพโปรแกรมเมอร์ของตนว่า เริ่มจากการเรียน กศน. จากนั้นเรียนจนจบ ปวส. เพราะสนใจศึกษาด้านนี้จริงจัง จากนั้นได้ไปสอบด้านวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ และย้ายไปเรียนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะหยุดเรียนชั่วคราว ออกมาทำงานเขียนโปรแกรม และว่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย

นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวว่า ส่วนภาพการจับใบแดง ที่มีการเอาไปแชร์ต่อกันนั้นไม่ใช่ภาพของตัวเอง แต่เป็นภาพของคนอื่นซึ่งเจ้าของรูปตัวจริงก็ได้โทรมาหาตนแล้ว และได้ชี้แจงข้อเท็จจริงไปแล้วว่า ไม่ได้เป็นคนเอามาลง แต่มีบางสื่อที่เอาภาพนี้มาลงประกอบกับเรื่องของตัวเอง.