สลด ม้าเหล็กขยี้แหลกสังเวยชีวิต 2 แม่ลูก สาหัส 1 ราย หลังขับเก๋งยาริสพากันออกจากบ้านไปเรียนพิเศษขณะซิ่งขึ้นเนินข้ามทางรถไฟไม่มีแผงกั้น เจอขบวนรถด่วนสปรินเตอร์พุ่งชนกลางคัน ขยี้เก๋งพังยับกระเด็นตกข้างทาง แม่ดับสยองคาพวงมาลัยรถ ลูกคนโต วัย 7 ขวบไปสิ้นใจที่โรงพยาบาล ส่วนลูกคนเล็กวัย 4 ขวบ ต้องผ่าตัดสมองอาการยังโคม่า สามีเหยื่อเผยเคยเตือนแล้วไม่ให้ใช้เส้นทางเกิดเหตุเพราะทัศนวิสัยไม่ดี ผู้ว่าฯสุราษฎร์ธานีประสานการรถไฟหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอย แฉเมื่อเดือนก่อนขบวนรถมรณะเพิ่งเสยกระบะดับมาแล้ว 2 ศพ
ม้าเหล็กขยี้เก๋ง 3 แม่ลูกร่างแหลกดับสยองคาราง เปิดเผยเมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 23 ก.พ. พ.ต.ท.โชคดี สุขห่อ สว.(สอบสวน) สภ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเกิดเหตุรถไฟชนกับรถเก๋งบริเวณจุดตัดทางรถไฟ หลักกิโลเมตรที่ 630/3 หน้าทางเข้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลพุนพิน ช่วงสถานีรถไฟมะลวน-สถานีรถไฟทุ่งโพธิ์ หมู่ 1 บ้านทุ่งโพธิ์ ต.พุนพิน อ.พุนพิน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตติดอยู่ในซากรถเก๋ง ประสานหน่วยกู้ภัยกู้ชีพ รพ.พุนพิน และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธา นำอุปกรณ์ ตัดถ่างเข้าช่วยเหลือ มีนายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ธานี และ พ.ต.อ.วิสุทธิ์ ภู่พันธ์ศรี ผกก.สภ.พุนพิน รุดไปอำนวยการ
ที่เกิดเหตุพบขบวนรถไฟด่วนพิเศษ (สปรินเตอร์) ขบวนที่ 41 กรุงเทพ-ยะลา ต่อพ่วงกับขบวนที่ 39 กรุงเทพ-สุราษฎร์ธานี จำนวน 6 โบกี้ จอดอยู่บนราง สภาพหัวรถจักรท่อลมหักได้รับความเสียหาย ห่างรางรถไฟในพงหญ้าข้างทางราว 50 เมตร พบรถ เก๋งโตโยต้า ยาริส สีดำ ทะเบียน กร 8521 สุราษฎร์ธานี ถูกชนพังยับทั้งคัน มีผู้เสียชีวิตคาเบาะคนขับชื่อ นางอมรรัตน์ ซั่วต๋อ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/1 หมู่ 1 ต.ศรีวิชัย อ.พุนพิน สภาพแขนขวาขาด ข้อมือซ้ายขาด ขาหัก แผลฉกรรจ์บนใบหน้า และบอบช้ำภายใน ส่วนบุตรสาวอีก 2 คนชื่อ ด.ญ.ศรัณย์พร พัดทอง อายุ 7 ขวบ ศีรษะฉีกขาด บอบช้ำภายใน ไปเสียชีวิตที่ รพ.พุนพิน และ ด.ญ.สุพัชรา พัดทอง อายุ 4 ขวบ มีบาดแผลฉกรรจ์ตามลำตัว นำส่ง รพ.สุราษฎร์ธานี แพทย์เร่งให้การช่วยเหลือ ส่วนขบวนรถไฟหยุดซ่อมกว่า 1 ชั่วโมงก่อนเดินทางต่อไป
...
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นางอมรรัตน์ ขับรถเก๋งคันดังกล่าวออกจากบ้าน พาบุตรสาวทั้ง 2 คนไปเรียนพิเศษใน ต.พุนพิน เมื่อถึงที่เกิดเหตุเป็นทางขึ้นเนินและจุดตัดข้ามรางรถไฟไม่มีเครื่องกั้น มีเพียงสัญญาณไฟกะพริบ คาดว่าช่วงที่นางอมรรัตน์ ขับรถข้ามทางรถไฟไม่ทันสังเกตว่า กำลังมีขบวนรถไฟแล่นมาพอดี ทำให้ถูกพุ่งชนอย่างแรงจนรถเก๋งกระเด็นตกข้างทางมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว ผู้โดยสารคนหนึ่งบนขบวนรถไฟให้ข้อมูลกับตำรวจอ้างว่า ได้ยินพนักงานขับรถไฟเปิดหวูดส่งเสียงสัญญาณเตือนก่อนเกิดการชนกันขึ้น มีความเป็นไปได้ว่ารถเก๋งคันดังกล่าวเครื่องยนต์อาจขัดข้องกะทันหัน และจอดค้างบนรางรถไฟก่อนถูกชน
นายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการตัดต้นไม้และหญ้าที่ขึ้นรกริมทาง เนื่องจากบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นขบวนรถไฟ เส้นทางดังกล่าวประชาชนในพื้นที่มีความจำเป็นต้องใช้สัญจรไปมา จะประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย หาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอยขึ้นมาอีก จากนั้นเดินทางไปยัง รพ.สุราษฎร์ธานี เยี่ยมและให้กำลังใจ ด.ญ.สุพัชรา หรือน้องอิ่ม พัดทอง อายุ 4 ขวบ ที่อาการสาหัสเข้ารับการผ่าตัดสมองและยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุรถไฟขบวนเดียวกันนี้ พุ่งชนรถกระบะบริเวณทางตัดทางรถไฟบ้านถ้ำเขาชาวาลา-บ้านถ้ำน้ำทิพย์ หมู่ 7 ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.ชุมพร มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และในจุดเกิดเหตุเป็นจุดตัดทางรถไฟไม่มีแผงกั้น มีแต่สัญญาณไฟกะพริบเช่นกัน ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านเลขที่ 24/1 หมู่ 2 ต.ศรีวิชัย อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี พบญาติผู้เสียชีวิตกำลังจัดเตรียมสถานที่ ไถปรับพื้นที่ กางเต็นท์รับแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพ 2 แม่ลูก รวม 5 คืน มีการตั้งหีบศพคู่กัน จะฌาปนกิจศพที่วัดเขาศรีวิชัย
นายสุพินญา พัดทอง อายุ 35 ปี สามีผู้เสียชีวิตเล่าว่า ภรรยาขับรถออกจากบ้านเพื่อไปส่งบุตรสาวเรียนพิเศษที่หมู่บ้านจุลจอมเกล้า สามารถไปได้หลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่เกิดเหตุเคยสั่งไว้ไม่ให้ใช้เส้นทางนี้เนื่องจากมีหญ้าเนเปีย ที่มีคนปลูกไว้สำหรับเลี้ยงวัวขึ้นสูง บดบังการมองเห็น ประกอบกับเป็นทางตัดรถไฟขึ้นเนิน อาจเกิดอันตรายได้ แต่วันนี้ อาจเป็นเพราะออกจากบ้านสายเลยใช้เส้นทางดังกล่าวเพราะระยะสั้นที่สุด การสูญเสียในครั้งนี้ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทั้งภรรยาและลูกสาวคนโต คนเล็กยังคงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เนื่องจากผ่าตัดสมองจากกะโหลกศีรษะร้าว อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องความปลอดภัย สร้างทางกั้นรถไฟมากกว่าการมีสัญญาณไฟเตือน และไม่ควรให้ปลูกหญ้าบดบังการมองเห็น อาจเกิดความสูญเสียซ้ำซ้อนได้