การจอดของเรือประมงพาณิชย์นิ่งๆอยู่เฉยๆแรงงานก็ต้องจ่ายทุกๆวัน...จ่ายเป็นเดือน หากเรือไม่ได้ออก 1 เดือน แรงงาน 40 คนคิดดูว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ เดือนนึงคนละ 12,000 บาท อย่างน้อยๆ ไม่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ตีว่า 9,000 บาทก็สามแสนกว่าบาทเข้าไปแล้วเฉพาะค่าแรงเท่านั้น
ไหนจะค่าเอ็นจีเนียร์ นายช่าง นายท้ายเรือ เรือปั่นไฟคู่เป็นเรือลูกที่เป็นเรือสนับสนุน ค่าจ้างเดือนละ 17,000 บาท อีก 4 ลำ เท่าไหร่ต่อเดือน... เสียรวมๆแล้ว 2 แสนบาท รวมๆค่าแรงก็ไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท
“ขณะเดียวกันถ้าต้องจอดด้วยกติกาภาครัฐที่ออกมา ผมพยายามกู้หนี้ยืมสินมา พอเรือขยับออกไป ทำประมงอาทิตย์ สองอาทิตย์...ก็มีกฎใหม่มาอีกแล้ว ต้องเข้ามาวัด 3 ฝ่าย...บางครั้งปีหนึ่งเดี๋ยววัดๆ”
ข้างต้นคือเสียงสะท้อนสภาพเป็นจริงจากหนึ่งในกลุ่มประมงปัตตานี พร้อมย้ำอีกว่าถ้าเรืออยู่กลางทะเลก็ต้องวิ่งเข้าฝั่งมากว่า 100...200 ไมล์ทะเล ค่าใช้จ่ายน้ำมันเท่าไหร่...วิ่งเข้ามาก็ต้องวิ่งเข้าทุกๆลำทั้งเรือแม่ เรือลูกทั้งหมด ค่าใช้จ่ายมีเรื่อยๆหนี้สินก็บวกไปเรื่อยๆยิ่งนานวันก็ยิ่งพอกพูน จนสุดท้ายก็จะเดินไม่ได้ทั้งหมด
ชาวประมง “รายได้” จริงๆขึ้นอยู่กับการจับสัตว์น้ำ ช่วงเวลาฤดูกาลจะได้มากได้น้อย กำหนดไม่ได้ตายตัวชัดเจน แต่จะประเมินคร่าวๆให้เห็นภาพได้ว่า...
“ตัวผมเองเรือขนาด 156 ตันกรอส อยู่ในสัดส่วนของเรือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ถ้ากระทำผิดถูกปรับก็อยู่ในระวางค่าปรับ 20-30 ล้านบาท รายได้ภาคปกติโดยหักค่าคนงาน ค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมดแล้ว ถ้าเรือมีรายได้จากยอดขายปลา 2 ล้านบาท ผมเสมอตัวในฐานะผมเป็นเจ้าของเรือและทำหน้าที่ไต้ก๋งเรือด้วย”
ถ้าจ้างไต๋รับจ้างก็ขาดทุน...นี่คือที่มาความเดือดร้อนของชาวประมง...ยิ่งเรือ 1 ตันกรอส ถ้าได้ 1.5 ล้าน ถ้าจ้างไต๋ไม่ได้อะไรเลยก็จะขาดทุนต่อเนื่อง ด้วยความเสื่อมสภาพเครื่องมือ อุปกรณ์ที่เสียหาย ชำรุดเวลามาจอดซ่อม แต่ละครั้งก็จะลงลึกไปเรื่อยๆ ทำให้หนี้สินบวกเรื่อยๆ ยิ่งอยู่...ยิ่งทำจึงมีแต่หนี้สินรุงรัง ไม่มีวิธีที่จะปัดไปให้พ้นตัว
...
ทุกคนอาจจะคิดว่า ในเมื่อคุณไม่ได้ออกเรือก็ไม่น่าจะขาดทุนมีหนี้สิน แต่หนี้สินที่รัดตัวเกิดขึ้นมาอย่างที่กล่าวไป นับหนึ่งเริ่มจาก กฎหมายข้อบังคับที่ออกมาแล้วทำให้ชาวประมงเดินเรือไม่ได้
ณ วันนี้ ส่วนตัวแล้วเรือถึงจะออกทะเลหาปลาได้ แต่ก็ต้องระวังตัวมากเพราะอาจจะโดนค่าปรับได้ด้วยป็นการตัดสินใจจากเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวก็ลงโทษได้ตามกฎหมายประมงตามมาตรา 105 ตามมาตรา 115/1 มีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ตรงนี้ ชาวประมงทั้ง 22 จังหวัดเลยกลัวกันหมด
ต้องระมัดระวังที่สุดถึงที่สุด...เป็นความเดือดร้อนอันใหญ่ยิ่งที่ชาวประมงเดินไม่ได้เลยในทุกวันนี้ เป็นความอัดอั้นจริงๆ รู้สึกแย่...สมาชิกทุกคนเป็นหนี้หมด ครอบครัว บ้าน ถูกยึดก็มี พร้อมจะถูกฟ้องก็มี...ถึงตรงนี้หลายคนที่ไม่เป็นชาวประมงอาจจะคิดว่าถ้าทำประมงแล้วขาดทุนยังฝืนสู้ทนทำอยู่กันต่อไปทำไมเล่า
ไต๋มากประสบการณ์คนเดิมขอพูดแบบเปิดอกกันเลยว่า เรือประมงเราเป็นเรือไม้ถ้าจอดอยู่กับฝั่งความเสียหายเราจะมากยิ่งกว่าที่เราออกไปทำการประมง สมมติว่าเราลงทุน 10 บาทออกไปทำประมงหาปลา เราอาจจะได้กลับมาสัก 12-15 บาท แต่ถ้าเราจอดอยู่กับฝั่ง เรือโดนแดดลม ภายใน 3 เดือนจะสูญเสียยิ่งกว่า
สมมติว่าเรือมูลค่า 5–8 ล้านบาทจะล่มสลายหมด เครื่องยนต์ออกทะเลโดนน้ำทะเล พออยู่กับฝั่งก็เป็นสนิม ต้องดูแลบำรุงรักษาเยอะ อวนทั้งหลายก็เหมือนกันแค่จอดพักไว้บนฝั่ง 3 เดือนก็ผุกร่อนกรอบ หนูกัดแล้ว อวนมูลค่าเป็นล้านบาทก็ต้องไปซื้อใหม่ ลงทุนใหม่
...เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำไมรถยนต์ที่จอดต้องติดเครื่องทุก 2 วัน อาชีพเรือประมง...เรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยังไงก็จำเป็นต้องหาเงินทุนเพื่อออกไปทำประมงให้ได้ ถ้าไม่ออกก็ตายเร็วไปกว่านี้อีก
น่าสนใจว่า...ความเลวร้ายของเรือประมงที่จอด แม้จะไม่ได้ทำการแต่ก็ต้องติดอุปกรณ์ VMS เอาไว้ แล้วต้องจ่ายค่ารายเดือนทุกเดือน คุณไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธว่าจอดนิ่งไม่ได้ทำประมงออกไปหาปลาในทะเลแล้วระงับการใช้ VMS ชั่วคราวเอาไว้ก่อนได้ ทุกอย่างก็เลยเสมือนประเดประดังรอบตัวติดขัดไปหมด...เมื่อก่อนเรามีความพร้อมเมื่อไหร่ก็ออกทำการประมงได้ แต่ทุกวันนี้ก่อนจะออกไปทำการประมงแต่ละครั้งมีขกระบวนการมากมายเลย
เรือประมงตามมาตรา 81 (1) จะออกไปทำการประมงได้จะต้องติด VMS แต่เดี๋ยวนี้กฎหมายเปลี่ยนแปลงว่าไม่ต้องออกทำการประมง แค่จดทะเบียนเรือก็ต้องติด VMS ให้ตรวจสอบได้แม้แต่เรือจอดเฉยๆ กระทั่งเรือที่จมอยู่ในน้ำ VMS คุณต้องมีนะ ถ้าไม่มี ไม่ติด หากเป็นเรือขนาดใหญ่ ปรับไม่มากไม่มาย 4 ล้านบาทเท่านั้น
“ชาวประมงจะทำยังไง...หรือเห็นว่าพวกเราเป็นมหาเศรษฐีมีเงินพันล้านฯหมื่นล้านฯเพื่อลงทุนทำประมงแบบว่ามีสายป่านยาวๆสุดลูกหูลูกตา”
ความเคลื่อนไหวล่า...ก็มาอีก 1 ปัญหาแล้ว อุปกรณ์ VMS ของเดิมรุ่นแรก ที่เสมือนถูกบีบบังคับให้ซื้อเฉพาะกับบริษัทที่กรมประมงรับรองเท่านั้น แล้วก็มาเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2560 ให้เปลี่ยนเป็น VMS รุ่นที่ 2 ภายในปี 2562 แต่ด้วยเสียงคัดค้านดังระงมไปทั่วผืนทะเลไทย ทำให้ผลบังคับใช้ถูกชะลอไปก่อนพลางๆ
เรือลำไหนที่ VMS รุ่น 1 ยังใช้การได้อยู่ก็ใช้ไปจนกว่าจะเสีย ค่อยเปลี่ยน หรือเสียแล้วคิดจะซ่อมก็ไม่ได้ด้วย มีข่าวว่าบริษัทที่ขายนั้นปิดทำการไปแล้ว คงจะหาอะไหล่ไม่ได้ ผล...ถ้าเสียก็ต้องเปลี่ยนเป็นรุ่น 2 โดยปริยาย
เล่าสู่กันฟังแล้วยิ่งหดหู่ใจ VMS รุ่น 2 สนนราคาอยู่ที่ 54,463 บาท มีค่าบริการ 2 แบบให้เลือก...หนึ่งแบบเก็บล่วงหน้าราย 6 เดือนอยู่ที่ 10,593 บาท รวมค่าอุปกรณ์...ค่าบริการต่อเรือ 1 ลำอยู่ที่ 65,056 บาท สอง...แบบเก็บล่วงหน้าราย 1 ปีอยู่ที่ 20,865 บาท...รวมค่าอุปกรณ์ ค่าบริการ 1 ลำอยู่ที่ 75,328 บาท
คิดกันคร่าวๆมูลค่า VMS รุ่น 2 กับเรือประมงไทย 9,500 ลำ ค่าอุปกรณ์บวกค่าบริการ 1 ปี เป็นมูลค่าจิ๊บๆ เกือบ 716 ล้านบาทเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ยังมีรายการข้อบังคับยกระดับมาตรฐานเสื้อชูชีพของกรมเจ้าท่าเพิ่มเข้ามาอีก สำหรับเรือที่เดินภายในประเทศเพื่อความปลอดภัยในการขนส่งทางน้ำ...เส้นทางประมงไทยจึงเสมือนมีแต่ขวากหนามให้ต้องเดินสะดุด ข้อบังคับบวกกับรายจ่ายประเดประดังสวนทางกับเส้นทางหารายได้ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก
...
“แรงงานในเรือประมง” เป็นเป้าในทุกๆมาตรการที่แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาระดมสรรพกำลังเดินหน้ายุทธศาสตร์เข้ามาชักธงรบแก้ปัญหาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ทั้งๆที่ความเป็นจริงหากย้อนวันเวลาไปได้ ตามหลักทางสายกลาง คิดกันด้วยเหตุและผล คำตอบอาจจะไม่ได้อยู่ที่แรงงานในเรือประมง 100 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้
เทียร์ 2...เทียร์ 3 ใบเหลือง...ใบแดงประมงไทย? ที่พูดตอกย้ำกันไปนั้นแรกเริ่มเดิมทีสิ่งที่เราถูกเพ่งเล็งกันจริงๆนั้นเป็นการใช้แรงงานจากธุรกิจในกระบวนการภาคโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจสิ่งทอ โรงงานล้ง แปรรูปจากประมง และค้าประเวณี มูลเหตุสำคัญอยู่ที่ปัจจัยสามสี่เรื่องที่ว่านี้ ไม่ได้พูดเรื่องแรงงานในเรือประมงเลย...
เหตุไฉน? วันเวลาผ่านมาถึงวันนี้นับแต่เริ่มเปิดยุทธการปลดล็อก รัฐบาลกลับพุ่งเป้าฉายไฟส่องไปเฉพาะแรงงานประมงเท่านั้น กลเกมพลิกหน้า สลับร่างสร้างโอกาส...ภาคอุตสาหกรรมโยนเผือกร้อนมาที่ภาคเรือประมงด้วยเหตุผลสำคัญที่อ้างว่า...ถ้าไม่แก้ปัญหาเรือประมง ประเทศไทยจะส่งออกไม่ได้
ทุกครั้งทุกคราที่พวกเรามีโอกาสไปร่วมประชุมรับฟังปัญหาไม่ว่า เวทีใหญ่เวทีเล็กที่พยายามเข้าไป ทุกแห่งหน ก็จะถามย้อนกลับเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้สื่อข่าว เพื่อพยายามสื่อสะท้อนให้สังคมได้รับรู้ว่า...ถ้าคุณไปตามข้อมูลจริงๆ สินค้าประมงไทยที่ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอียูมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นสินค้ามาจากไหน
“ปลาทูน่า” นำเข้า...บริษัทที่นำเข้ามาแปรรูปและส่งออก กุ้งที่เราส่งออกก็เป็นกุ้งเลี้ยง ไม่ใช่กุ้งทะเลที่เรือประมงหาจับมาได้ ...นี่คืออะไร...ไฉนโยนให้ “เรือประมง” เป็นแพะรับบาปมาตลอด?