ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ ประกาศห้ามเรือเล็กออกจากฝั่ง หวั่นได้รับอันตรายจากอิทธิพลของพายุ “ปาบึก” ขณะที่อุทยานต่างๆ ประสานให้ผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว งดเที่ยวทะเล...
กรณีพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) ที่พัดปกคลุมทะเลจีนใต้ตอนล่าง กำลังเคลื่อนตัวเข้าทะเลอ่าวไทยตอนกลาง ส่งผลให้คลื่นลมในทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน เริ่มมีกำลังแรง กระทบหลายจังหวัดทางภาคใต้ ล่าสุดเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 2 ม.ค. นายชัยศิริ ขุนดำ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ ออกประกาศด่วนที่ 3/2562 ลงวันที่ 2 ม.ค. ให้เรือเล็กทุกชนิดงดออกจากฝั่งตั้งแต่วันที่ 3-5 ม.ค.นี้ โดยเนื้อหาในประกาศระบุว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนเรื่องพายุโซนร้อน “ปาบึก” ที่จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณรอยต่อระหว่าง จ.ชุมพร และ จ.สุราษฎร์ธานี ในช่วงค่ำของวันที่ 4 ม.ค. ส่งผลให้หลายจังหวัดทางภาคใต้ จะได้รับผลกระทบในช่วงวันที่ 3-5 ม.ค.นี้ ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่ม คลื่นลมในทะเลมีกำลังแรง
เพื่อความปลอดภัย และป้องกันอุบัติภัยทางน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการเดินเรือในช่วงระยะเวลาดังกล่าว สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ จึงขอประกาศเตือนให้ผู้ควบคุมเรือ เจ้าของเรือ ผู้ประกอบการเดินเรือต่างๆ เช่น เรือประมง เรือบรรทุกคนโดยสาร และประชาชนผู้ใช้บริการเรือโดยสาร โดยเฉพาะเรือขนาดเล็ก เรือเร็วทุกขนาด และเรือหัวโทง งดออกจากฝั่ง โดยให้ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำ และควรรับฟังคำพยากรณ์ทางอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงเป็นประจำทุกวัน
...
ทั้งนี้ภายหลังมีประกาศดังกล่าวออกมา ล่าสุดอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่ง อาทิ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ประสานให้ผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว หยุดกิจกรรมการท่องเที่ยวทางทะเลเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางทะเล
ด้าน พ.ต.ท.ม.ล.กิติบดี ประวิตร ผวจ.กระบี่ เรียกประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้อง พร้อมทั้ง ปภ.จ.กระบี่ สั่งจัดชุดเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ โดยเฉพาะที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ที่มีภูเขาสูงชัน พื้นที่เสี่ยงหรือที่เคยเกิดน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม เช่นในพื้นที่ อ.เขาพนม อ.อ่าวลึก โดยให้ติดตามข้อมูลน้ำฝนในรอบ 24 ชม. หากมีข้อบ่งชี้ว่าจะเกิดความเสี่ยงให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ทันที รวมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชม. และให้ทุกหน่วยรายงานผลกระทบ ซึ่งในส่วนของ จ.กระบี่ คาดว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรง ไม่น้อยกว่าหลายจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย.