รอลุ้นผลคดีรุมโทรมหญิงวัย 15 ปีที่พังงา ทนายเผย เสร็จสิ้นหน้าที่ของทีมทนายความ หลังศาลได้นัดสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้วนัดพิพากษา 25 ตุลาคมนี้...
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2561 นายสรรเพชร ทิพมนเฑียร ทนายความจิตอาสาคดีข่มขืนเด็กอายุ 15 ปี พร้อมทีมงานทนายความ ได้ตรวจสำนวนคดีซึ่งศาลได้นัดสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 25 ตุลาคม 2561 ที่ศาลจังหวัดพังงา พร้อมออกมาเปิดเผยว่า คดีดังกล่าวน่าจะมีการอุทธรณ์ฟ้องร้องกันต่อไปตามกระบวนการยุติธรรม
สำหรับคดีดังกล่าว ย้อนเหตุการณ์เริ่มจากทาง เจ้าหน้าที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติสาขาภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ได้นำแม่ของเด็กหญิงวัย 15 ปี เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.กิติภูมิ ถิ่นถลาง สารวัตร (สอบสวน) สภ.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ในวันที่ 3 กันยายน 2560 เพื่อหาตัวกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่ง ในอำเภอตะกั่วทุ่ง นอกเหนือจากผู้ต้องหา 3 คน ที่อัยการจังหวัดพังงาได้มีการสั่งฟ้องในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 15 ปี (เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา)

...
นายชานนท์ อับดุลล่าห์ มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติสาขาภูเก็ต ที่ได้เข้าพูดคุยกับเด็กสาว พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 ผู้กระทำชำเราในชุดแรกนั้น มีผู้ต้องหาจำนวน 3 คน ที่อัยการได้ทำการส่งฟ้องดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทราบว่าต่อมาผู้ต้องหาชุดแรกได้มีการชักชวนคนในหมู่บ้านเข้ามาร่วมกระทำชำเราเด็ก จนกระทั่งมีการพาออกนอกพื้นที่ และมีผู้ร่วมกระทำมากขึ้น ซึ่งได้ให้การว่ามีจำนวนมากถึง 6 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งที่มากสุด มีผู้ร่วมกระทำชำเราถึง 11 คน
ทาง นายสรรเพชร กล่าวว่า ขณะนี้ เสร็จสิ้นหน้าที่ของทีมทนายความแล้ว มีการนัดสืบพยานจำนวนกว่า 20 นัด ซึ่งทางศาลได้สั่งปิดสำนวน พร้อมนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ตุลาคม 2561 นี้ คาดว่าความจริงได้ปรากฏแก่พี่น้องประชาชนได้รับทราบที่ให้ความสนใจแก่คดีนี้อยู่ ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งพยานโจทย์และพยานจำเลย โดยเฉพาะจำเลยและพยานจำเลยยืนยันคำให้การเดิม โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้ง 32 คดี โดยในวันนัดพิจารณาทั้ง 2 ฝ่าย ต้องเตรียมตัวแต่เช้า เพราะคาดว่าคำพิพากษาต้องยาวแน่นอน ด้านการเตรียมใจของฝ่ายจำเลยยังมั่นใจว่าบริสุทธิ์ และพร้อมที่จะยอมรับคำพิพากษาตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนคำตัดสินของศาลไม่ว่าจะยกฟ้องหรือพิพากษาอย่างไร ตนเองคิดว่าต้องมีการอุทธรณ์หรือฎีกาตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป