"กรุณาอย่าเกลียดฉลาม" ดร.ธรณ์ เชื่อนักท่องเที่ยวแดนปลาดิบ มีแผลขณะเล่นกระดานโต้คลื่น หน้าชายหาดกมลา ถูกฉลามกัด ชี้ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ควรอนุรักษ์ ...

จากกรณี เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา มีกลุ่มไลน์แจ้งเหตุต่างๆในพื้นที่ จ.ภูเก็ต แชร์ภาพนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมีบาดแผลฉกรรจ์ บริเวณเท้าซ้ายเป็นรอยคล้ายของมีคมบาด หลังลงไปเล่นกระดานโต้คลื่นหน้าหาดกมลา ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งก็มีทั้งคนเชื่อว่า อาจถูกปลาสากที่มีเขี้ยวแหลมคมกัด บ้างก็ว่าอาจไปเหยียบของมีคนในทะเล

ขณะที่ ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า จากการดูบาดแผลจาก เชื่อว่าเป็นฝีมือของ Black tip Reef Shark หรือ ฉลามหูดำ หรือ ฉลามครีบดำ ซึ่งพบมีแหล่งอาศัยอยู่ทั่วไปตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่งทั้งทะเลทั้งอ่าวไทยและอันดามัน โดยฉลามชนิดนี้เมื่อโตเต็มวัย ลำตัวจะยาวประมาณ 1-2 เมตร มีนิสัยไม่ดุร้าย ชอบกินปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร แต่ในรายนี้คาดว่าขณะที่นักท่องเที่ยวเล่นกระดานโต้คลื่นห่างจากชายฝั่ง ทำให้คิดว่าเป็นเหยื่อ จึงพุ่งเข้างับ

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น คล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่บริเวณชายหาดกะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยมีนักท่องเที่ยวถูกสัตว์ทะเลกัดที่ขาขณะลงเล่นน้ำที่ชายหาด ซึ่งขณะนั้นผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นฝีมือของ Bull Shark หรือ ฉลามหัวบาตร ซึ่งมีความดุร้าย บางส่วนเชื่อว่าเป็นฝีมือของปลาปักเป้า แต่ความจริงแล้วน่าจะเป็นฝีมือของฉลามหูดำ ซึ่งพบได้บ่อยครั้งในทะเลอันดามัน จึงไม่น่ากังวล เพราะโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

ต่อมาวานนี้ (17 ส.ค.) นายนรภัทร ปลอดทอง ผวจ.ภูเก็ต กล่าวภายหลังสอบถามข้อมูลจาก นายทัศพล กระจ่างดารา นักวิชาการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต ซึ่งสันนิษฐานตามลักษณะของบาดแผลและพื้นที่เกิดเหตุว่า ปลาที่กัดนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นนั้น เป็นปลาบารากรูด้า ซึ่งภาษาถิ่นเรียกว่า ปลาน้ำดอกไม้หรือปลาสาก ปลาชนิดนี้มีรูปร่างลักษณะตัวยาว มีฟันแหลมคมมาก ชอบกินลูกปลาที่อยู่บริเวณผิวน้ำเป็นอาหาร และสันนิษฐานว่า ขณะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นรายดังกล่าวกำลังเล่นกระดานโต้คลื่นอยู่นั้นเกิดมีฟองอากาศเหนือผิวน้ำและปลาสากตัวดังกล่าวอยู่บริเวณนั้นพอดี จึงคิดว่าเป็นลูกปลาที่เคยกินเป็นอาหาร จึงได้กัดเข้าที่เท้าของชาวญี่ปุ่น

...

“จากการสอบถามกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ต.กมลา อ.กะทู้ ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุนั้น ต่างยืนยันว่าในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาชาวบ้าน ชาวประมง-ผู้ประกอบการ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวไม่เคยพบเห็นปลาฉลามในละแวกนี้ ส่วนปลาสากนั้นชาวประมงจับขึ้นมาได้เป็นประจำ โดยส่วนใหญ่นำมาทำเป็นลูกชิ้นปลา และปลาสากอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในรอบน่านน้ำเกาะภูเก็ต จึงมีความน่าเชื่อสูงว่าปลาที่กัดนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นนั้น เป็นปลาสากไม่ใช่ปลาฉลาม”

ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 18 ส.ค. เฟซบุ๊ก 'Thon Thamrongnawasawat' ของ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้มีการโพสต์ข้อความและภาพระบุ "วันนี้มีข่าวเรื่องปลาทำร้ายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลงไปโต้คลื่นหาดกมลา ภูเก็ต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวาน (16 ส.ค.) จากบาดแผลที่เห็นในภาพ นักวิชาการให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นปลา 2 อย่าง อันดับแรกคือ ฉลาม อย่างที่สองคือ ปลาสาก #กรุณาอย่าเกลียดฉลาม จากประสบการณ์ของผมคิดว่า น่าจะเป็นฉลามขนาดเล็กมากกว่าปลาสาก ซึ่งเป็นกรณีกับที่แหม่มสาวเคยโดนกัดเมื่อเดือนกันยายน ปี 58 ในบริเวณใกล้กัน ความคิดเห็นของผมตรงกับ ดร.ก้องเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมทะเลและผมให้สัมภาษณ์ไปเช่นนั้น ฉลามในที่นี้อาจเป็นฉลามหูดำขนาดเล็กที่พบได้ทั่วไปในชายฝั่งของประเทศไทย โดยเฉพาะชายฝั่งภูเก็ตหรืออาจเป็นลูกฉลามขนาดใหญ่ชนิดอื่นที่เข้ามาเป็นครั้งคราว การระบุให้ชัดเจนว่าเป็นปลาประเภทใดอาจต้องอาศัยการวิเคราะห์กันต่อไป แต่ที่ไม่ต้องวิเคราะห์คือ 'กรุณาอย่าเกลียดฉลาม'" 

นอกจากนี้ ดร.ธรณ์ ยังโพสต์เพิ่มเติมด้วยว่า ไม่ควรเกลียดฉลาม เพราะลักษณะการกัด ฉลามไม่ได้คิดทำร้ายด้วยซ้ำ เป็นแค่สงสัยว่าเป็นเหยื่อหรือเปล่า เมื่อไม่ใช่ก็จากไป ไม่ใช่พยายามกินคนให้ได้เหมือนในหนัง ในทางกลับกัน ควรหาทางอนุรักษ์ ดูแลฉลาม ผลักดันให้ฉลามบางชนิดเป็นสัตว์คุ้มครอง และควรเลิกกินหูฉลาม เพราะฉลามสำคัญต่อระบบนิเวศ ในฐานะผู้ล่าสูงสุด และฉลามแสนสำคัญต่อการท่องเที่ยวในแนวปะการัง.