แถลงเหตุปะทะ ช่วงเย็น 17 ธ.ค. ทบ.แจง ความหมายคำว่า “ทำลายให้สิ้นสภาพ” ขณะที่พบกระสุนจากกัมพูชา ตกใส่บ้านฝั่งไทยแล้ว 105 จุด จัดกำลังคุ้มครองศูนย์พักพิงกว่า 1,100 แห่ง ดูแลผู้อพยพเกือบ 4 แสนคน พบ ตชด.บาดเจ็บแล้ว 31 นาย 

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ททบ.5 นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง ชี้แจงภารกิจของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ในการดูแลความปลอดภัยประชาชนในพื้นที่ส่วนหลัง และศูนย์พักพิงตลอดแนวชายแดน โดยยืนยันว่า กรมการปกครองได้จัดกำลังกองอาสารักษาดินแดน กว่า 2,000 นาย สนับสนุนการประสานงานกับกองทัพ และดูแลประชาชนในระดับตำบล และหมู่บ้าน สำหรับพื้นที่หมู่บ้านตามแนวชายแดน ได้มอบหมายกำลังชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ ชรบ. ดูแลความปลอดภัยประชาชน ตั้งแต่เกิดเหตุ นำประชาชนเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัย และดูแลบ้านเรือน ทรัพย์สิน รวมถึงสัตว์เลี้ยง โดยใช้กำลังพลรวมกว่า 40,000 นาย จากทั้ง 7 จังหวัด ซึ่งเพียงพอและครอบคลุมการดูแลทุกพื้นที่ ประชาชนสามารถวางใจได้ว่าทรัพย์สินจะได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ตอนในซึ่งเป็นศูนย์พักพิง กรมการปกครองได้จัดกำลังสมาชิก อปพร. และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงทั้งสิ้น 1,124 แห่ง รองรับประชาชนราว 400,000 คน โดยเน้นย้ำความพร้อมด้านอาหาร ที่พัก น้ำดื่ม และการดูแลด้านจิตใจ พร้อมเสริมกิจกรรมนันทนาการ เช่น การออกกำลังกายคลายเครียด และการดูแลสุขภาพจิตจากทีมแพทย์

อธิบดีกรมการปกครองย้ำว่า ขณะนี้ประชาชนทั้งหมดได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ขอความร่วมมือให้รอประกาศจากทางราชการก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนา โดยในพื้นที่หมู่บ้านได้จัดกำลังดูแลทรัพย์สินอย่างเพียงพอ พร้อมได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล ผ่านเงินทดรองราชการ จังหวัดละ 100 ล้านบาท เพื่อดูแลค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทน และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อย่างเหมาะสม

...

ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงเปิดเผยภาพรวมการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจตระเวนชายแดน ว่า ตั้งแต่วันแรกของเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน มีตำรวจตระเวนชายแดนได้รับบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 31 นาย โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจด้วยตนเอง พร้อมกำชับให้ดูแลการรักษาพยาบาลและสวัสดิการของกำลังพลอย่างดีที่สุด รวมถึงสั่งการให้แพทย์ใหญ่จัดคณะแพทย์ลงพื้นที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เพื่อประสานการรักษาตำรวจตระเวนชายแดนที่ยังพักรักษาตัวอยู่ พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ป้องกันตนเองให้กำลังพลแนวหน้าอย่างครบถ้วน

ในส่วนของความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน พบคดีอาชญากรรมที่เข้าข่ายซ้ำเติมประชาชน จำนวน 4 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีลักทรัพย์ในศาสนสถาน และบ้านเรือนที่ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ ซึ่งทรัพย์สินที่ถูกขโมยมีมูลค่าไม่สูง และอยู่ระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยด้านความมั่นคงตามข้อมูลที่ประชาชนแจ้งเบาะแส ทั้งกรณีชาวต่างชาติและแรงงานต่างด้าวในหลายพื้นที่ โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงกับการจารกรรม หรือภัยต่อความมั่นคง

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขณะเดียวกันพื้นที่บ้าน 3 หลัง จ.ตราด หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ได้ตอบโต้กัมพูชา เพื่อป้องกันตนเอง และเป็นข่าวดีล่าสุดที่ทหารเรือสามารถป้องกันและยึดพื้นที่บ้าน 3 หลัง หรือพื้นที่บ้านหนองรี ได้สำเร็จเรียบร้อย 100% แล้ว สังเกตได้จากธงไทยที่โบกสะบัด

ขณะที่ พ.ต.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในส่วนหลังคือประชาชน ซึ่งครอบคลุมทุกจังหวัดชายแดน ทั้งจากจรวด BM 21 เครื่องยิงลูกระเบิด และโดรนโจมตี ที่ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย มีประชาชนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังกระทบโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ จึงต้องมีการอพยพผู้ป่วยไปยังบังเกอร์เพื่อความปลอดภัย ส่วนพื้นที่ปศุสัตว์ของประชาชน ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ทั้งนี้ กองทัพบก ร่วมกับ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เข้าไปประเมินภาพความเสียหายที่มีกระสุนตกเข้าไปในเบื้องต้น เริ่มต้นจากพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 อำเภอตาพระยา จำนวน 4 แห่ง อำเภอโคกสูง จำนวน 9 จุด รวม 13 แห่ง พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ภาพรวม จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีกระสุนตกส่งผลกระทบต่อประชาชนรวม 92 จุด สรุปยอดรวมทั้ง 2 กองทัพภาค มี 105 จุด บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 27 หลังคาเรือน ประชาชนเสียชีวิต 1 ราย กระทบสถานพยาบาล 1 แห่ง ศาสนสถาน 4 แห่ง และสถานศึกษา 1 แห่ง

กองทัพบก ขอประณามการกระทำของกัมพูชาที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักกติกาสากลระหว่างประเทศ โดยจะมีการรวบรวมหลักฐานที่เกิดขึ้นทั้งหมดนำไปให้ส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขยายผลในเวทีนานาชาติต่อไป

พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีคำกล่าวของเสนาธิการทหารบกที่ระบุถึงการ “ทำลายให้สิ้นสภาพ” โดยยืนยันว่าจะการปฏิบัติการของกองทัพไทยในขณะนี้ เป็นผลจากการที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากโจมตีก่อน ทำให้กองทัพไทยมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักสากล บทเรียนจากการสู้รบเมื่อช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่าฝ่ายไทยถูกโจมตีอย่างหนัก และส่งผลกระทบต่อประชาชน และพลเรือนในพื้นที่ แม้กองทัพจะพยายามป้องกัน และยับยั้งอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ครั้งนี้กองทัพบกยืนยันว่าจะดำเนินการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียซ้ำรอยเดิม

สำหรับคำว่า “ทำลายให้สิ้นสภาพ” หมายถึง การยับยั้งขีดความสามารถด้านอาวุธของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะอาวุธที่สามารถสร้างความเสียหายในวงกว้าง เพื่อไม่ให้สามารถนำมาใช้โจมตีประเทศไทยได้อีก เนื่องจากตราบใดที่ยังมีอาวุธอยู่ ก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รายงานล่าสุดจากพื้นที่กองกำลังบูรพา จ.สระแก้ว ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชามีการระดมยิงอาวุธมากกว่าหนึ่งร้อยนัดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหลักฐานชัดเจนว่าภัยคุกคามยังคงมีอยู่ และจำเป็นต้องดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเหมาะสม

...

นายสัตวแพทย์ สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงว่า กรมปศุสัตว์ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านปศุสัตว์ จากการประเมินล่าสุด พบว่าพื้นที่ได้รับผลกระทบครอบคลุม 7 จังหวัด รวม 28 อำเภอ มีสัตว์ขึ้นทะเบียนเลี้ยงกว่า 6.5 ล้านตัว โดยมีสัตว์เสียชีวิตแล้ว 173 ตัว มีการอพยพสัตว์ไปยังพื้นที่ปลอดภัย 915 ตัว และมีสัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 70 ทีม ใน 7 จังหวัด รวม 18,734 ตัว ในระยะเผชิญเหตุ กรมปศุสัตว์ให้ความสำคัญสูงสุดกับการจัดหาอาหารสัตว์ โดยร่วมกับองค์การทหารผ่านศึก และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน สนับสนุนเสบียงอาหารสัตว์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้จัดส่งหญ้าและเสบียงอาหารสัตว์แล้ว 119,400 กิโลกรัม ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 7 จังหวัด และยังมีเสบียงสำรองอีกกว่า 850,160 กิโลกรัม

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ยังมีมาตรการชดเชยเยียวยาเกษตรกรที่ปศุสัตว์เสียชีวิตหรือสูญหาย ตามระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2564 โดยตัวอย่างอัตราการช่วยเหลือ โค จะได้รับการชดเชยตั้งแต่ 13,000 ถึง 35,000 บาทต่อหัว ไม่เกินรายละ 5 ตัว ส่วนกระบือ ได้รับการชดเชยตั้งแต่ 15,000 ถึง 39,000 บาทต่อหัว ไม่เกินรายละ 5 ตัว ทั้งนี้ อัตราขึ้นอยู่กับอายุสัตว์ หากความเสียหายเกินเกณฑ์ที่กำหนด กรมปศุสัตว์จะรวบรวมเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับเกษตรกรหรือเจ้าของสัตว์ที่ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือผ่านสายด่วนของกรมปศุสัตว์ หรือแอปพลิเคชัน DLD 4.0 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง