มติที่ประชุมสหวิชาชีพ ยังไม่ส่งเด็กชายวัย 13 ปี กลับกัมพูชา รอตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์สิทธิ์กับพ่อชาวไทย ขณะที่การเรียน ให้ปรับเป็นเรียนออนไลน์ เพื่อคงสภาพเป็นนักเรียนอยู่ในระบบการศึกษา 

วันที่ 3 ก.ย. 68 กรณีของเด็กชายวัย 13 ปี และแม่ชาวกัมพูชา ถูกแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว และกำลังถูกผลักดันกลับประเทศ เนื่องจากแม่เด็กเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติสำคัญคือ จะยังไม่ผลักดันน้องและแม่กลับประเทศในตอนนี้ โดยจะให้ทั้งคู่เข้าพักพิงในบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์เป็นการชั่วคราว เพื่อรอขั้นตอนการตรวจสอบพิสูจน์สัญชาติให้เสร็จสิ้น เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก


ซึ่งการตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่าง ด.ช. วัย 13 ปี กับนายศิริโชค ผู้เป็นพ่อเลี้ยงชาวไทย เนื่องจากมีข้อมูลว่า จริงๆ เด็กน่าจะเกิดที่กัมพูชา แม่เป็นกัมพูชา พ่อก็น่าจะเป็นกัมพูชา แล้วเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตอนที่เด็กอายุประมาณ 6 ขวบ เริ่มเรียนในโรงเรียนตอน ป.1 ปัจจุบันอยู่ชั้นมัธยมศึกษา เดิมทาง ตม. จะผลักดันแม่ออกไปตามหลักกฎหมาย แต่เด็กจะมีสิทธิ์อยู่ต่อ แต่ถ้ามีการผลักดันแม่ออกไปลูกก็ต้องไปด้วย เบื้องต้นทางพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับตัวแม่และเด็กไปดูแลเบื้องต้นแล้ว

...

ทั้งนี้มติที่ประชุมสรุปว่า ถ้าผล DNA ของน้องตรงกับ นายศิริโชค จะสามารถเพิ่มชื่อนายศิริโชคใน ใบเกิดของน้องได้ ซึ่งจะนำไปสู่การขอสัญชาติไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่หากผล DNA ไม่ตรงกัน ก็ยังมีแนวทางอื่นในการช่วยเหลือน้องและแม่ ให้สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง เช่น การทำเอกสารการเข้าเมืองให้ถูกกฎหมาย, การจดทะเบียนสมรสของแม่กับนายศิริโชค หรือการรับน้องตงเฮงเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ซึ่งทุกแนวทางจะยึดหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ


ส่วนเรื่องการเรียนนั้น ทางกระทรวงศึกษาและสหวิชาชีพ ปรึกษากันแล้วว่าในช่วงนี้จะให้เด็กเรียนทางออนไลน์ก่อน เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาปกติ และยังคงสภาพเป็นนักเรียนอยู่ในระบบการศึกษา

ทั้งนี้ หากผลพิสูจน์ DNA พบว่า ด.ช. วัย 13 ปี เป็นคนสัญชาติกัมพูชาและมีเหตุให้ถูกผลักดันกลับประเทศต้นทางจริง ครอบครัวสามารถทำเอกสารเข้าเมืองใหม่อย่างถูกต้อง เด็กซึ่งเป็นผู้ติดตาม (สถานะ G) ก็สามารถเข้ารับการศึกษาในประเทศไทยได้ดังเดิม