อดีตทหาร สมรภูมิปราสาทตาควาย และเนิน 350 เมื่อปี 2554 เปิดใจ "กัมพูชา" ไว้ใจไม่ได้ แม้แต่ "คำสาบาน" ซ้ำไม่เคยให้ค่าทหารที่เสียสละ ทำแค่ขุดหลุมฝังกลบ แม้จะเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่
ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับ นายกรกต เกตุแก้ว อดีตทหารผ่านค่ายสุรนารี ผู้ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิรบปราสาทตาควาย และเนิน 350 ได้บอกถึงความสำคัญของพื้นที่ทั้งสองว่า ในทางการทหารปราสาทตาควาย และเนิน 350 ถือเป็นพื้นที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเนิน 350 ที่เป็นพื้นที่สูง หากอยู่บนนั้นจะสามารถเห็นพื้นที่ประเทศกัมพูชาได้ทั้งหมด และจะสามารถมองเห็นว่ากำลังของฝ่ายตรงข้ามว่ามีเท่าไร มีการเสริมมาในทางไหนบ้าง เช่นเดียวกันบนเนิน 350 ก็สามารถมองเห็นฝั่งไทย จะเห็นทั้งหมู่บ้านเส้นทางการลำเลียงทหาร และที่ตั้งของทหาร จึงทำให้เนิน 350 เป็นพื้นที่สำคัญมากที่ต้องยึดเอามาให้ได้
...
หากมองในมุมของคนไทยก็คิดไม่ต่างกันว่า ปราสาทตาควายและเนิน 350 อย่างไรก็ต้องเป็นของคนไทย เพราะพื้นที่ทั้งสองอยู่ในเขตอธิปไตยไทย ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าการเจรจา GBC จะมีผลออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม พื้นที่ของปราสาทตาควาย และเนิน 350 จะต้องเป็นของคนไทยเท่านั้น
นายกรกต บอกด้วยว่า ในอดีตตอนปี 2554 ปราสาทตาควายและเนิน 350 เคยถูกทหารกัมพูชายึดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนั้นทหารพรานค่ายสุรนารี ได้ใช้วิธีรบแบบกองโจร และยิงปืนใหญ่เข้าใส่ จนสามารถตีทหารกัมพูชาให้ถอยลงจากเนินไปได้ และสามารถยึดปราสาทตาควายและเนิน 350 ให้กลับมาเป็นของคนไทยได้
ส่วนในครั้งนี้การที่ปราสาทตาควายและเนิน 350 ถูกทหารกัมพูชายึดไปได้ วิธีการยึดคืนก็คงไม่ได้ยากเหมือนตอนปี 2554 เพราะตอนนี้ทหารไทยมียุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า เพียงเอาเครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิดใส่ เพียงเท่านั้นก็คงสามารถยึดปราสาทตาควาย และเนิน 350 ให้กลับมาเป็นของคนไทยได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม อย่างที่ตนพูดไม่ว่าอย่างไร ปราสาทตาควายและเนิน 350 ต้องเป็นของคนไทยเท่านั้น หากการเจรจา GBC จบลงด้วยการยอมให้ทหารกัมพูชายึด ตนเองในฐานะทหารที่เคยรบ และทหารที่ยอมเสียสละชีวิตตัวเองในสนามรบ จนสามารถยึดดินแดนทั้งสองมาเป็นของคนไทยได้ คงเสียใจมาก ทางเจ้าหน้าที่รัฐจะกล้าไปบอกครอบครัวเขาหรือไม่ว่าพื้นที่ที่ลูกหลานของเขายอมตายเพื่อปกป้อง ตอนนี้ได้กลายเป็นของกัมพูชาไปแล้ว
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้สอบถามเกี่ยวกับทหารกัมพูชาที่ตายในสนามรบ ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ ทหารกัมพูชาเคยเก็บศพทหารตัวเองหรือไม่ นายกรกต บอกว่า ไม่ว่าจะยุคไหน ตั้งแต่เขมรแดง จนมาถึงปัจจุบัน กัมพูชาไม่เคยเห็นค่านักรบของชาติตัวเอง ทหารกัมพูชาชั้นผู้น้อยที่ถูกยิงตายตามชายแดน ไม่เคยถูกเก็บศพกลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเลย ในยุคนั้นทหารที่เป็นชั้นผู้ใหญ่อย่างมากสุดก็แค่ขุดหลุมฝังกลบ แต่ก็ถูกสัตว์ขุดมากินอยู่ดี จึงทำให้พื้นที่ชายแดนหลังเสร็จสิ้นการรบ จะมีกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งในพื้นที่เป็นอย่างมาก ซึ่งตนก็ไม่แปลกใจเลยที่ในปัจจุบันกัมพูชาไม่ได้เก็บศพทหารที่ถูกยิงในสนามรบ ไม่เหมือนกับคนไทยที่ให้ค่าและเชิดชูทหารกล้าที่ยอมสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง
อย่างไรก็ตามทีมข่าวยังถามอีกว่า ตั้งแต่เคยรบกับทหารกัมพูชา นิสัยใจคอของทหารกัมพูชาเป็นยังไงบ้าง อดีตทหารพราน บอกว่า ทหารกัมพูชาไว้ใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพราะตอนปี 2528 ทหารไทยเคยช่วยทหารกัมพูชาที่ถูกทหารเวียดนามต้อนจนต้องข้ามมาอธิปไตยไทย หลังจากช่วยไว้ทหารไทยก็บอกให้ทหารกัมพูชาช่วยเฝ้าเวรยาม ป้องกันหากถูกทหารเวียดนามบุกเข้ามา แต่พอทหารเวียดนามบุกเข้ามา ทหารกัมพูชากลุ่มนี้กลับหนีหาย จนทหารไทยเกือบเอาตัวไม่รอด แต่สุดท้ายก็สามารถต้อนทหารเวียดนามจนหนีลงเขาไปได้
นอกจากนี้เมื่อตอนปี 2554 เวลาที่ระดับผู้บังคับบัญชาระหว่างทหารไทย และทหารกัมพูชามาเจอกัน ก็จะมีของฝากมาให้กันตลอด พูดคุยสนิทชิดเชื้อกัน จนถึงขั้นทำพิธี ”ผูกเสี่ยว“ แล้วเคยพูดกันว่าจะไม่ยิงกัน แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ปรากฏว่าทหารกัมพูชาได้นำกำลังมาบุกที่เขาพระวิหาร ก่อนจะเปิดฉากยิงใส่ทหารไทย จึงทำให้ทหารด้วยกัน พูดเลยว่าทหารกัมพูชาไว้ใจไม่ได้แม้แต่วันเดียว