แม่ค้าชายแดน บริเวณจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ หวั่นสถานการณ์ยืดเยื้อ ปมพิพาทไทย-กัมพูชา โอดได้รับผลกระทบหนัก จากรายได้หลักหมื่นต่อวัน เหลือแค่หลักร้อย
วันที่ 18 มิ.ย. 68 ทีมข่าวยังคงติดตามสถานการณ์ที่บริเวณจุดผ่อนปรนการค้า ช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พบว่าวันนี้ฝ่ายความมั่นคงของทั้งฝั่งไทยและกัมพูชายังคงเปิดให้ประชาชนทั้งสองฝั่งข้ามพรมแดนเพื่อไปซื้อสินค้าระหว่างกัน ตามมาตรการปรับลดวันเวลาเปิด-ปิด จากสัปดาห์ละ 7 วัน เหลือสัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันอังคาร พุธ และวันพฤหัสบดี โดยฝั่งไทยจะเปิดประตูเวลา 09.00 น. แต่ฝั่งกัมพูชาจะเปิดประตูเวลา 10.00 น. และปิดในเวลาเท่ากันคือ 12.00 น. จะเหลือเวลาในการข้ามไปมาซื้อขายสินค้าระหว่างกันเพียงวันละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้การค้าขายที่ช่องสายตะกูของไทย และช่องจุ๊บโกกี ฝั่งกัมพูชาเงียบเหงา
โดยจากข้อมูลพบว่า มีประชาชนทั้งสองฝั่งข้ามไปมาเพื่อซื้อขายสินค้าระหว่างกันไม่ถึงวันละ 100 คน ทำให้ส่งผลกระทบกับการค้าขาย พ่อค้าแม่ค้าบางรายก็ปิดร้านชั่วคราว เพราะนำสินค้ามาขายก็ไม่คุ้มทุน ส่วนที่ยังเปิดขายอยู่ก็รายได้ลดลงหลายเท่าตัว อย่างเช่นแม่ค้าขายปุ๋ยและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ช่องสายตะกูรายหนึ่ง เผยว่า ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะที่ช่องบก และมีมาตรการควบคุมวันเวลาเปิด-ปิดด่าน ก็ส่งผลให้การค้าชายแดนซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อก่อนที่ไม่มีปัญหาพิพาทกัน มีการเปิดค้าขายทุกวัน ก็มีรายได้จากการขายของวันละประมาณ 10,000 บาท
...
แต่หลังจากควบคุมวันเวลาเปิด-ปิดด่าน เหลือแค่สัปดาห์ละ 3 วัน วันละแค่ 2 ชั่วโมง ก็แทบไม่มีชาวกัมพูชาข้ามมาซื้อปุ๋ยหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของที่ร้านเลย ทุกวันนี้รายได้เหลือแค่วันละหลักร้อยเท่านั้น ทั้งเกรงว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อออกไปอีกก็จะกระทบหนักมากขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนทั้งสองฝั่งไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย เขายังเป็นห่วงโทรมาถามไถ่ด้วยซ้ำ ก็อยากให้รัฐบาลเร่งเจรจาหาแนวทางยุติข้อพิพาทให้จบโดยเร็ว เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนทั้งสองฝั่งด้วย
ด้านแม่ค้าขายไส้กรอกบอกว่า จากปัญหาพิพาทที่เกิดขึ้นรายได้ก็ลดลง เพราะประชาชนทั้งสองฝั่งไม่สามารถข้ามไปมาซื้อขายสินค้ากันได้เป็นปกติ ก็อยากให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายเร่งเจรจาหาข้อยุติปัญหาพิพาทที่เกิดขึ้นให้จบลงโดยเร็ว และสามารถกลับมาเป็นพี่น้องค้าขายกันเป็นปกติเหมือนเดิม