เจ้าหน้าที่จัดประชุมหาทางช่วย "สาวอุดร" วัย 18 ไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กัมพูชา โทรกลับบอกตาว่าอยากกลับบ้าน-มีค่าไถ่ตัว 1,000 ดอลลาร์ ยันต้องรับตัวกลับมาให้ปลอดภัย-ส่วนเรื่องคดีมีหมายจับอยู่แล้ว
จากกรณี น.ส.บุษรา บุดสักใส หรือ โบ๊ท อายุ 18 ปี ไปทำงานอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา จนมีหมายจับคดีบัญชีม้า เมื่อตำรวจติดต่อไป ผ่านนายบุญกอง มลัยโย อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นตา น.ส.โบ๊ท ได้โทรศัพท์กลับมา ร้องไห้และบอกว่าอยากจะกลับบ้าน แต่กลัวว่าจะติดคุก เพราะเงินเดือนถูกหักไม่เหลือ โดยปักหมุดอยู่ที่ในเมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา และระบุว่ายังไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่าต้องจ่ายเงิน 1,000 ดอลลาร์ ถึงจะยอมปล่อยตัว ดังที่นำเสนอข่าวไปแล้ว

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอ อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี นายบัณฑูร นริศรางกูร นอภ.ไชยวาน ร่วมกับ พ.ต.อ.รัฐพลชัย เพ็ญสงคราม ผกก.สภ.ไชยวาน เชิญนายบุญกอง มลัยโย อายุ 68 ปี ตา น.ส.โบ๊ท มาให้ข้อมูลอีกครั้ง เพื่อหาทางช่วยเหลือกลับบ้านเกิด เบื้องต้นได้ร่วมกันเก็บข้อมูลและวิเคราะห์แนวทางการช่วยเหลือ ซึ่งจะให้นายบุญกองฯ ร้องเรียนผ่านระบบตามขั้นตอนฝ่ายปกครองกับ สนง.ศูนย์ดำรงธรรม อ.ไชยวาน เพื่อส่งถึงสำนักนายกรัฐมนตรี
...
นายบัณฑูร นริศรางกูร นอภ.ไชยวาน เปิดเผยว่า หลังได้รับรายงานเรื่องนี้ ทราบว่ามีการร้องขอให้มีการช่วยเหลือ น.ส.โบ๊ท กลับบ้าน เราก็ต้องทำทุกวิถีทาง ประสานกับหน่วยงานที่มีอำนาจ นำตัวกลับมาที่ประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยก่อน ส่วนกระบวนการด้านกฎหมายของหมายจับที่มีอยู่ ก็ต้องมาสู้ไปตามหลักฐาน จะผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ตรงนี้มันเป็นคนละเรื่องกัน เราต้องเอาตัวเขาที่ถูกกักขังกลับมาประเทศไทยก่อน
พ.ต.อ.รัฐพลชัย เพ็ญสงคราม ผกก.สภ.ไชยวาน เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบแล้ว ซึ่งก็จะมีการส่งเข้า ตร.ต่อไปตามลำดับขั้นตอน ในส่วนตำรวจยังจะไม่มีการประชุมติดตามในเรื่องนี้ เนื่องจากเหตุเกิดอยู่นอกราชอาณาจักร ไม่ได้เกิดในพื้นที่ แต่เมื่อเป็นประชาชนคนไทย เราก็ต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่อยู่แล้ว จะผิดหรือถูกก็ค่อยมาว่ากันอีกครั้ง หลังจากนายบุญกองร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมแล้ว ก็จะเร่งประสาน สนง.พมจ.อุดรธานี เพื่อช่วยเหลืออีกช่องทางหนึ่ง

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านของนายบุญกองอีกครั้ง โดยมี น.ส.บุปผา อรกุล ผญบ.บ้านนพแก้ว ม.10 ต.โพนสูง เข้าร่วมพูดคุยและให้กำลังใจครอบครัวของนายบุญกอง โดยนายบุญกองให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อคืนนี้ประมาณ 23.00 น. หลานสาวโทรกลับมาหาอีกครั้ง ย้ำว่าหากโอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 1,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ก็จะถูกปล่อยตัวทันที แต่ตนก็บอกหลานว่าตอนนี้ไม่มีเงิน ขอเวลาอีก 2 – 3 วันได้หรือไม่ หลานก็บอกว่าจะคุยกับเขาอีกที
"หลานบอกว่าตากับยายไม่ต้องเป็นห่วง ยังปลอดภัยดี แต่ยืนยันว่าอยากกลับบ้าน เพราะทำงานไปก็ไม่ได้เงิน ตนก็ยังไม่รู้ว่าหลานกลับไปทำงานที่นั่นอีกทำไม กลับออกมาได้รอบหนึ่งแล้ว ทำไมต้องย้อนกลับไปอีก จากนี้จะเอาเรื่องเงินไถ่ตัวไปปรึกษาตำรวจก่อน ว่าควรจะโอนไปไถ่ตัวหลานหรือไม่ หรือตำรวจมีวิธีอื่นช่วยแบบไหน หากกลับมาได้แล้วถูกดำเนินคดี ก็ให้ว่ากันไปตามกฎหมาย คนทำผิดก็ต้องรับโทษ หากไม่ผิดก็ต้องมาพิสูจน์กันตามขั้นตอน ถามว่ามีเงินไปช่วยหลานไหม ตนก็ไม่มี หากต้องช่วยจริงอาจจะยืมมา หรือแย่กว่านั้น ก็ให้หลานเผชิญชะตากรรมเอง เพราะตนไม่มีเงินจริงๆ"

ด้าน น.ส.บุปผา อรกุล ผญบ.บ้านนพแก้ว เผยว่า ตำรวจประสานข้อมูลมาว่าลูกบ้านมีหมายจับคดีบัญชีม้า ตนก็พาตำรวจมาที่บ้านเพื่อติดหมาย เมื่อมาถึงสอบถามก็เป็นไปตามเรื่องที่เกิดขึ้น ตนก็ยังแปลกใจอยู่ว่าเขากลับมาได้แล้ว ทำไมต้องกลับไปอีก รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดกฎหมาย และมันน่ากลัวขนาดไหน ก็ยังจะย้อนกลับไปอีก ได้แต่เอาใจช่วยลูกบ้าน จะผิดถูกอย่างไรขอให้คนของเรากลับมาบ้านก่อน แล้วมาสู้กันต่อในคดี.
...