ผู้รับเหมาแฉหลักฐาน สลิปโอนเงิน คลิปเจรจามัดนายก อบจ.สกลนคร หลอกค่าเรียกมัดจำโครงการก่อสร้างและติดตั้งไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ โครงการปล่อยพันธุ์ปลาลงบึงหนองหาร สูญกว่า 5 ล้าน ด้านนายกคู่กรณีปฏิเสธให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
จากกรณีเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสกลนครว่า ถูกชูพงศ์ คำจวง นายก อบจ.สกลนคร กับพวกรวม 3 คน หลอกเรียกรับเงินมัดจำโครงการก่อสร้างและติดตั้งไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ และโครงการปล่อยพันธุ์ปลาลงบึงหนองหาร จนสูญเงินกว่า 5 ล้านบาท โดยพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งสำนวนการสอบสวนและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้กับ ป.ป.ช.สกลนคร ดำเนินการ ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการติดต่อจากผู้เสียหาย เพื่อมอบหลักฐานเอกสาร คลิปเสียงและคลิปวิดีโอ การเจรจาต่อรองกับนายก อบจ.สกลนคร และผู้ร่วมขบวนการ ในระหว่างการพูดคุยเจรจาต่อรองเรื่องเงินค่ามัดจำโครงการ ซึ่งผู้เสียหายบันทึกไว้ระหว่างการพูดคุยเจรจาต่อรองกัน พร้อมเปิดเผยพฤติกรรมที่ถูกนายก อบจ.กับพวกหลอกลวง จนสูญเงิน 5.5 ล้านบาท
นางสาวณัชชา มารศรี ผู้เสียหาย พร้อม นายธรรมรงค์ สืบอ้าย นายกสมาคมพัฒนาชนบท ซึ่งเป็นผู้ที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย นำหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องแสดงต่อผู้สื่อข่าว พร้อมเปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2564 นายบุญธรรม นามสมบูรณ์ และนายตันติกร คำมุงคุณ ได้มาติดต่อกับผู้เสียหายโดยนำเสนอโครงการก่อสร้างและติดตั้งไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ และโครงการปล่อยพันธุ์ปลาลงบึงหนองหาร

...
โดยนางสาวณัชชา ให้ข้อมูลว่า หลังจากที่นายบุญธรรม และนายตันติกร ได้มาติดต่อเสนอโครงการทั้งสองโครงการดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ได้สนใจอะไร เนื่องจากมีเพียงเอกสารไม่กี่แผ่นมาแสดง แต่ต่อมาทั้งสองคนได้ติดต่อมาและพาเข้าพบกับนายชูพงศ์ที่ห้องทำงาน นายก อบจ.สกลนคร ได้รับคำยืนยันจากนายชูพงศ์ว่า ทั้งสองโครงการเป็นเรื่องจริง ซึ่งจะมีการจัดซื้อจัดจ้างในเดือนกรกฎาคม 2564 ทำให้พวกตนหลงเชื่อ และเริ่มโอนเงินมัดจำโครงการเข้าบัญชีของนายบุญธรรม ตามที่นายชูพงศ์บอก ครั้งแรกโอนเงินไป 2,100,000 บาท ครั้งที่สอง 2,200,000 บาท และครั้งที่ 3 จ่ายเป็นเช็ค 2,200,000 บาท
นางสาวณัชชา ยังกล่าวอีกว่า หลังจากที่โอนเงินให้ไปตามข้อตกลงแล้ว ก็ได้มีการติดตามทวงถามมาโดยตลอด พอจ่ายเงินเสร็จ ท่านนายกก็บอกว่างานจะออกประมาณเดือนกรกฎาคม เดี๋ยวท่านประวิตรจะลงมา ซึ่งท่านก็มาจริงๆ ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 หลังจากนั้นก็รอมาตลอด พอปี 2566 แฟนไม่สบาย ตนเดินทางไปกับคนสนิท นายชูพงศ์บอกว่าจะให้เงินมาบรรเทาก่อนบางส่วน และถ้าไม่มีงานจริงๆ จะเปลี่ยนงานตัวใหม่ให้ หลังจากนั้นวันที่ 19 ตุลาคม 2566 ตนและครอบครัวได้นำทนายความเข้าไปเจรจากับนายชูพงศ์ ที่ห้องทำงาน ที่ อบจ.สกลนคร และนายชูพงศ์ บอกว่าจะคืนเงินทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2566 พอถึงเดือนธันวาคม นายชูพงศ์ให้คนสนิทโอนเงิน 100,000 มาให้ จึงเอะใจว่าไม่ได้เงินคืนแน่นอน จึงได้เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 และวันที่ 29 มกราคม ทางตำรวจได้ส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช.จังหวัดสกลนคร ซึ่งตนกับทนายความได้แจ้งความ ข้อหามาตรา 157 เพิ่มเติมอีก 1 ข้อหา

ส่วนเงินที่โอนไปกับเช็ครวม 6,500,000 บาท ตอนนี้ได้คืนมาแล้ว 1,000,000 บาท คงเหลือ 5,500,000 บาท จริงๆ แล้วไม่ได้ต้องการมีเรื่องมีราวใดๆ และก็เคารพนายชูพงศ์ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตนต้องการแค่เงินคืน วันนี้ที่ต้องออกมาแจ้งความ แค่อยากได้เงินคืน อยากให้นายชูพงศ์เห็นใจ เพราะต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เพื่อมารองรับโครงการตามที่ได้ตกลงกันไว้ ตนก็ต้องทำมาหากิน ในเมื่อไม่ได้งานก็ควรคืนเงิน ซึ่งในการเข้าแจ้งความเอาผิดในครั้งนี้มั่นใจในหลักฐานที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารในการโอนเงิน ทั้งคลิปเสียง คลิปวิดีโอที่นายชูพงศ์ให้นายบุญธรรมติดต่อมาเพื่อจะคืนจำนวนเงินในส่วนที่เหลือ เดือนละ 1,000,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือน ซึ่งนายบุญธรรม ได้ติดต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566
ด้านนายธรรมรงค์ สืบอ้าย นายกสมาคมพัฒนาชนบท กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายติดต่อมาที่ตนเพิ่มอีก 1 ราย แต่ยังไม่ได้คุยในรายละเอียดกับทางผู้เสียหาย ซึ่งได้รับเสียหายจากคนคนเดียวกัน และมีผู้เสียหายจากโครงการเดียวกันที่เดินทางมาจาก กทม.เข้าไปยื่นหลักฐานเพิ่มเติม ที่ ป.ป.ช.จังหวัดสกลนคร ซึ่งทราบว่าผู้เสียหายรายนี้สูญเงินไป 500,000 บาท ซึ่งจะรวบรวมผู้เสียหายว่ามีกี่ราย รวมถึงว่าเป็นคดีฉ้อโกงประชาชนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกล่าวหานายชูพงศ์ นายก อบจ.สกลนคร ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์ข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธจากนายชูพงศ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ไม่สะดวกในการให้สัมภาษณ์ใดๆ