สหายแสง ศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยนครพนม แจ้งความดำเนินคดี เศรษฐา ทวีสิน พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทย ปราศรัยใส่ร้ายกล่าวหาสนับสนุนกัญชาเสรี พาดพิงพรรค เอาผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังเดิมพันด้วยครอบครัว ส่งเมียลงสมัครสู้กับกระแสแลนด์สไลด์ 


มหกรรมแจ้งจับ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดต นายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 ที่ จ.นครพนม ใกล้ถึงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง หลัง ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นำแกนนำคนสำคัญ นายอดิศร เพียงเกษ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมถึงแกนนำคนสำคัญทางการเมือง หาเสียงปราศรัยชูนโยบาย เรียกคะแนนนิยม สนับสนุน ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 4 เขต โดยมีการเปิดเวทีปราศรัยวันเดียวถึง 3 เวที อ.นาแก อ.ธาตุพนม และ อ.เมือง นครพนม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ทำให้สะเทือนถึงพรรคคู่แข่ง คือพรรคภูมิใจไทย ที่มีสหายแสง นายศุภชัย โพธิ์สุ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 นครพนม เบอร์ 3 แชมป์เก่าเขต 1 แม่ทัพภูมิใจไทยที่จะหวังล้มแลนด์สไลด์ กวาดที่นั่งส.ส.ครบทั้ง 4 เขต

ล่าสุด สหายแสง นายศุภชัย โพธิ์สุ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 นครพนม เบอร์ 3 นำทีมฝ่ายกฎหมาย ทนายความ นำเอกสารหลักฐาน คลิปเสียงการปราศรัยเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.ธานินทร์ กันภัย สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เพื่อดำเนินคดีกับแกนนำพรรคเพื่อไทย จำนวน 4 คน ประกอบด้วย 1. นายเศรษฐา ทวีสิน 2. นายอดิศร เพียงเกษ 3. นายจาตุรนต์ ฉายแสง และ 4. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวหาว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยได้ปราศรัย เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีการใส่ร้ายป้ายสี ทำให้ตนและพรรคภูมิใจไทยได้รับความเสียหาย และเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำให้พี่น้องประชาชนสับสน เนื่องจากนำข้อมูลอันเป็นเท็จมากล่าวหาปราศรัย เรียกคะแนนนิยมให้กับพรรคตัวเอง จึงต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย

...

นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว เปิดเผยว่า การปราศรัยดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิด พรรคภูมิใจไทยและตนเองเกิดความเสียหาย มีผลต่อคะแนนเสียง ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง จากประชาชนชาวจังหวัดนครพนมที่มาร่วมฟังปราศรัย จึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 4 ในความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมนำข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พร้อมมอบหมายให้ตำรวจสอบสวนดำเนินคดี เพราะการปราศรัยหาเสียงจะต้องยึดหลักกฎหมาย เน้นปราศรัยเชิงนโยบาย สร้างความเข้าใจนโยบายพรรค ไม่ใช่มาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ จ.นครพนม พรรคใหญ่ที่น่าจับตา มีแค่ 2 พรรค เป็นการแข่งขันระหว่าง พรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย โดยพรรคภูมิใจไทย มีแม่ทัพคนสำคัญ แชมป์เก่า คือ สหายแสง นายศุภชัย โพธิ์สุ  ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 นครพนม เบอร์ 3 ที่ยอมทิ้งฐานที่มั่น จากเดิมเป็นแชมป์เขต 1 ย้ายมาเขต 2 เพื่อหวังล้ม ดร.มนพร เจริญศรี ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 นครพนม เบอร์ 2 พรรคเพื่อไทย แชมป์เก่า 4 สมัย

ส่วนพื้นที่ เขต 1 สหายแสง เสริมทัพด้วยการส่งภรรยา คือ นางพูนสุข โพธิ์สุ อดีตรองนายก อบจ.นครพนม ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 นครพนม เบอร์ 5 พรรคภูมิใจไทย ชนกับ ดร.ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 นครพนม เบอร์ 6 พรรคเพื่อไทย ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 3 สหายแสง ส่งนายแพทย์อลงกต มณีกาศ เบอร์ 4 พรรคภูมิใจไทย ชนกับ ดร.ไพจิต ศรีวรขาน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 นครพนม เบอร์ 2 พรรคเพื่อไทย แชมป์ 13 สมัย และเขต 4 สหายแสง ส่ง นายชูกัน กุลวงษา ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 นครพนม เบอร์ 8 พรรคภูมิใจไทย ชนกับ ทนายณพจน์ศกร ทรัพยสิทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 นครพนม เบอร์ 1 โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้ง วัดอนาคตการเมืองของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เชื่อว่าหากชนะเลือกตั้ง ได้ทั้ง 4 เขต จะสามารถครองแชมป์ได้ทั้ง 4 เขต ไปอีกหลายสมัย

ที่สำคัญ การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการวัดบารมี "ครอบครัวสหายแสง" นายศุภชัย โพธิ์สุ เนื่องจาก สหายแสง ยอมย้ายเขตและส่งภรรยาลงเสริมทัพในเขต 1 เพราะเชื่อในฐานเสียงคะแนนนิยม จากลูกสาวที่มีตำแหน่ง นายก อบจ.นครพนม จะมีส่วนช่วยพรรคภูมิใจไทย และผู้สมัคร ทั้ง 4 เขต ในพื้นที่ 12 อำเภอ

อย่างไรก็ตาม คอการเมืองเชื่อว่า ประเด็นที่สหายแสง ไม่พอใจในการปราศรัยของพรรคเพื่อไทย ประเด็นหลักน่าจะมาจากถูกโจมตีเรื่องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเผด็จการ รวมถึงสนับสนุนกัญชาเสรี อีกทั้งถูกโจมตีว่าหากเลือกพรรคภูมิใจไทยสุดท้ายจะไปสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลชุดเดิม  ทำให้สหายแสงไม่พอใจ และกระทบต่อคะแนนความเชื่อมั่นของพรรคภูมิใจไทย จึงต้องออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ปราศรัยโจมตี โดยก่อนนี้ สหายแสง ยังเคยถูกกระแสดราม่า ในการเปิดเวทีปราศรัยเปิดตัวผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ที่ด่าบนเวทีปราศรัย ว่าคนไม่เลือกภูมิใจไทยเป็นไอ้โง่ จนกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง และอาจมีผลต่อคะแนนนิยมพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้