เจ้าหน้าที่ที่บึงกาฬ จับ 3 หนุ่มร่วมขนกัญชา 230 กก. บรรทุกเรือข้ามโขงมาจากประเทศเพื่อนบ้าน จับแล้วไม่กล้ากำหนดค่าปรับ เพราะยังไม่มีการระบุราคาสินค้า ไม่สามารถอ้างอิงเป็นราคากลางนำมาเปรียบเทียบปรับได้ ยังไม่รู้เข้าข่ายเป็นยาเสพติดหรือไม่ เบื้องต้นดำเนินคดี "ร่วมกันนำของต้องห้ามฯ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร"
เวลา 09.00 น. วันที่ 19 ก.ค. 65 ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง สถานีเรือ นรข.บึงกาฬ น.อ.ราฆพ เทวะประทีบ ผบ.นรข.เขตหนองคาย มอบหมายให้ น.ท.สุรไกร รัตนกุสุมภ์ หน.ยก.นรข.เขตหนองคาย ร่วมกับ พ.ต.ต.หญิง ชุลีกร ลิมวิเศษศักดิ์ สว.ตม.บึงกาฬ พ.ต.ต.วิษณุ จินาวงษ์ สว.ตำรวจน้ำ นายอธิภัทร อยู่คุ้มญาติ หน.ฝ่ายปราบปรามฯ ด่านศุลกากรบึงกาฬ น.ส.กมลนิตยกานต์ หาญคำหล้า ผู้ช่วยป้องกันจังหวัด นายภูมินทร์ ศรีโฉม ปลัดฝ่ายป้องกันอำเภอเมืองบึงกาฬ ร่วมกันแถลงจับกุมผู้ต้องหาชาย 3 คน ของกลางกัญชาแห้งอัดแท่ง 203 แท่ง น้ำหนัก 203 กิโลกรัม ห่อหุ้มด้วยกระดาษฟอยล์สีทองและสีเหลือง รถยนต์บรรทุกขนาดเล็กด้านหลังทำเป็นตู้ทึบคล้ายรถส่งสินค้า ยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 2 ฒช 9288 กรุงเทพมหานคร และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง แจ้งข้อหา “ร่วมกันนำของต้องห้ามต้องกำกัด (พืชกัญชา) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร”
ทั้งนี้ จากการสืบทราบของ น.ท.การันต์ มินวงษ์ หน.สน.เรือบึงกาฬ ว่าจะมีการลักลอบนำยาเสพติดมาจากประเทศเพื่อนบ้านมาส่งมอบให้กลุ่มผู้ค้าชาวไทย ที่บริเวณริมแม่น้ำโขงใกล้เมรุเผาศพ บ้านห้วยดอกไม้ หมู่ 4 ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ จึงรายงานให้ น.อ.ราฆพ เทวะประทีป ผบ.นรข.เขตหนองคาย ทราบ พร้อมนำกำลังหน่วยเรือ นรข.บึงกาฬ สนธิกำลังกับ ตชด.244 ตำรวจน้ำบึงกาฬ ทหารร้อยสกัดกั้นที่ 2 กองร้อยสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดวางแผนร่วมกันจับกุม
...
เวลาประมาณ 05.00 น. ขณะซุ่มรออยู่พบรถยนต์ต้องสงสัยวิ่งเข้ามาจอดบริเวณข้างเมรุเผาศพ บ้านห้วยดอกไม้ จึงได้เฝ้าสังเกตพฤติการณ์จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเรือแล่นข้ามน้ำโขงเข้ามาจอดริมฝั่งแม่น้ำโขงห่างจากจุดซุ่ม 100 เมตร ขณะใช้กล้องส่องกลางคืนดูเมื่อเรือลำดังกล่าวเข้าจอดริมตลิ่ง มีชายฉกรรจ์แบบกระสอบต้องสงสัยขึ้นมากองไว้ริมตลิ่ง แล้วเรือลำดังกล่าวได้แล่นกลับไปยังฝั่ง สปป.ลาว ทันที ต่อมาชาย 2 คนที่มากับรถยนต์ได้เปิดประตูรถเดินลงไปยังจุดที่คนบนเรือโยนกระสอบต้องสงสัยทิ้งเอาไว้ แล้วเดินกลับมายังรถเหมือนเดิม สมทบกับชายอีกคนืรวมเป็น 3 คนกำลังจะเดินลงไปแบกเอากระสอบต้องสงสัย 5 กระสอบ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุมได้ทั้ง 3 คนดังกล่าว
จากการสอบสวนเบื้องต้น นายณัฐพงษ์ หนึ่งในผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้รับการติดต่อจากนายโอ๋ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ให้มารับกัญชาที่ จ.บึงกาฬ โดยจะได้รับค่าจ้างคนละ 10,000 บาท รวมเป็น 30,000 บาท ให้ขนไปส่งในณพื้นที่ จ.นนทบุรี จึงได้ชักชวนเพื่อนมาด้วยกันรวมเป็น 3 คน ก่อนจะถูกจับ พร้อมให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนี้กัญชากำลังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะน้ำมันกัญชาเมื่อนำไปสกัดแล้วจะขายในราคาขวดละ 450 บาท 1 ก้อน หรือ 1 กิโลกรัม จะสกัดน้ำมันได้ 40-50 ขวด ซึ่งปัจจุบันในพื้นที่ กทม.นอกจากน้ำมันกัญชาแล้วยังมีบุหรี่ไฟฟ้าที่มีส่วนผสมกัญชาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ราคาสูงถึงหลอดละ 3,000 บาท
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดสามารถระบุราคาสินค้าของกลางได้ และไม่สามารถอ้างอิงราคากลางจากหน่วยงานใดได้ ไม่รู้ว่ากัญชาที่ยึดไว้มี THC มากกว่าร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก ซึ่งเข้าข่ายเป็นยาเสพติดหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะใช้กฎหมายมาตราใดในการดำเนินคดี และกำหนดโทษในข้อหา “ร่วมกันนำของต้องห้ามต้องกำกัด (พืชกัญชา) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร” ตอนนี้กำลังปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งอัยการ ด่านศุลกากร ป.ป.ส. เนื่องจากเป็นกฎหมายใหม่ ยังไม่มีคดีตัวอย่าง ถือว่าคดีนี้เป็นคดีแรก จะต้องศึกษากับผู้รู้อีกที โดยระหว่างนี้ต้องควบคุมตัวทั้ง 3 ไว้ก่อน ส่วนจะประกันตัวหรือไม่เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา.