“ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย” บทกวีชื่อ “อีศาน” ของ นายผี หรือ อัศนี พลจันทร ตั้งแต่ปี 2495 ผ่านมากว่า 69 ปีแล้ว จนถึงปี 2564 ภัยแล้งก็ยังคงคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวอีสานทุกปีตลอดมา

จนชาวบ้านต้องหันไปพึ่งพาน้ำบาดาล แต่ปัญหาคือน้ำบาดาลภาคอีสานส่วนใหญ่เมื่อเจาะไปแล้ว จะไปเจอน้ำเค็ม น้ำกร่อย ใช้การไม่ได้ เนื่องจากสภาพพื้นที่บริเวณกลางแอ่งรองรับด้วยชั้นเกลือหินใต้ดิน ส่งผลให้ชั้นน้ำบาดาลมีคุณภาพกร่อย-เค็มในบางพื้นที่ อาทิ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด เป็นต้น

ที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นคือ น้ำบาดาลยังกักเก็บในรอยแตกหรือรอยต่อของชั้นหินแข็งระดับลึก ภายใต้โครงสร้างทางธรณีที่ซับซ้อน
ส่งผลให้การเจาะและพัฒนาน้ำบาดาลระดับตื้นมักจะไม่ประสบผลสำเร็จ มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ชาวบ้านต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำผิวดิน ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตรมาโดยตลอด ซึ่งมีโอกาสเกิดการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตรหรือแบคทีเรียได้ง่าย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำที่เหมาะสม ทำให้ขาดความมั่นคงด้านน้ำ ขาดโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

...

แต่นับเป็นข่าวดีของพี่น้องชาวอีสาน เมื่อล่าสุด กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ใช้เครื่องมือในการเจาะนํ้าบาดาลที่ทันสมัยเจาะบ่อบาดาลทะลุชั้นน้ำเค็มลงไป ลึกกว่า 1,000 เมตรหรือมากกว่า 1 กิโลเมตร ซึ่งลึกที่สุดในประเทศไทยและอาเซียนสำเร็จ ที่ ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งอยู่ในแอ่งนครราชสีมา–อุบลราชธานี แอ่งอุดรธานี–สกลนคร และแอ่งเลย ปรากฏว่าไปเจอชั้นน้ำจืดขนาดใหญ่

ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับชาวอีสานและเป็นความสำเร็จก้าวแรกสำหรับการพัฒนาที่ดินในอนาคต

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอช.) ได้มอบนโยบายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ภายใต้การกำกับดูแลของนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เร่งดำเนินการจัดหาแหล่งน้ำบาดาลระดับลึกเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรให้กับประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้ทุกครัวเรือน ตามแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศ (ปี พ.ศ. 2561–2580) กรม จึงได้ดำเนิน “โครง การศึกษาเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลระดับลึก พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียง เหนือ (แอ่งนคร ราชสีมา–อุบลราชธานี แอ่งอุดรธานี–สกลนคร และแอ่งเลย) เพื่อศึกษาสภาพธรณีวิทยา ธรณีโครงสร้าง อุทกธรณีวิทยาทั้งปริมาณและคุณภาพน้ำบาดาล และคุณสมบัติทางชลศาสตร์น้ำบาดาลใหม่ของชั้นน้ำบาดาลระดับลึก พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือปัจจุบัน อยู่ระหว่างการเจาะสำรวจน้ำบาดาล ณ บ้านหินขาว ม.15 ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น สามารถเจาะได้ลึก แล้ว 1,014 เมตร พบชั้นน้ำบาดาลใหม่ๆหลายชั้น ที่ระดับความลึกตั้งแต่ 180–190, 260–320, 540–550, 590–610, 750–770, 840–860 และ 970–990 เมตร เบื้องต้นพบชั้นน้ำบาดาลจืด คุณภาพดีแทรกสลับกับชั้นน้ำบาดาลกร่อย– เค็ม โดยในชั้นที่พบน้ำบาดาลมากที่สุดคือ 540–600 เมตร สามารถนำมาใช้ได้ที่ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง” นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดเผยถึงความสำเร็จในการขุดเจาะบ่อบาดาลได้ลึกที่สุดครั้งแรกในประเทศและในอาเซียน

...

สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ เมื่อเจอชั้นน้ำที่ระดับที่ต้องการแล้ว จะมีการคว้านปากบ่อให้กว้างขึ้น จาก 12 นิ้ว เป็น 15 นิ้ว เพื่อใส่ท่อลงไปสูบน้ำขึ้นมา โดยจะทดลองสูบน้ำก่อนเป็นเวลา 75 ชั่วโมง หลังจากนั้น ก็จะเอาน้ำไปตรวจสอบคุณภาพในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้วก็จะสร้างระบบกักเก็บและกระจายน้ำ ซึ่งทางท้องถิ่นก็จะมาเดินท่อเพื่อกระจายน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ใช้ต่อไป คาดว่า อีกประมาณ 2 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ ในปริมาตรน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงนั้น หากสูบวันละ 16 ชั่วโมง จะได้น้ำวันละ 1,600 ลูกบาศก์เมตร หรือ 1,600,000 ลิตร ซึ่งคาดว่า ปริมาตรดังกล่าวจะใช้ได้กับประชาชนจำนวน 10,000 คน คนละ 100-150 ลิตรต่อวันต่อคน โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า หลังจากพัฒนาบ่อน้ำบาดาลบ่อนี้ให้กับชาวบ้านใน ต.สาวะถี ใช้โดยจะไม่ขาดแคลนน้ำอีกต่อไป ก็จะไปดำเนินการขุดเจาะบ่อบาดาลที่ระดับลึก 1,000 เมตรในพื้นที่อื่นๆ ตั้งเป้าจังหวัดละ 1 บ่อ จำนวน 20 จังหวัด ทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ขณะเดียวกัน ยังเตรียมแผนขยายผลไปยังพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor : NeEC–Bioeconomy) ครอบคลุม จ.นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร นครพนม บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เป็นต้น

...

“นี่คืองานท้าทายที่สุด สำหรับการเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ระดับความลึกกว่า 1 พันเมตร เพื่อช่วยประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจากสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นประจำทุกปีรวมทั้งภัยแล้ง การที่สามารถเจาะน้ำบาดาลได้ในระดับความลึกมากกว่า 1 พันเมตรครั้งนี้ จะทำให้ปัญหาขาด แคลนน้ำอุปโภคบริโภค เกษตร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการหมดไปจากภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ทั้งยังสามารถรองรับความต้องการใช้น้ำด้านอุปโภคบริโภค เศรษฐกิจ สังคม เกษตร กรรม และในภาคอุตสาหกรรมได้ในอนาคต” นายศักดิ์ดา ระบุ

แน่นอน การพบน้ำจืดในแอ่งโคราชแห่งนี้ถือเป็นข่าวดี เพราะแอ่งน้ำที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจพบในครั้งนี้ กินพื้นที่ครอบคลุมถึงกว่า 10 จังหวัด นั่นหมายความว่าเมื่อขุดเจอชั้นน้ำจืดที่นี่ ที่จังหวัดอื่นใกล้เคียงก็จะเจอชั้นน้ำด้วยเช่นกัน

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม มองว่า นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญบนผืนแผ่นดินอีสาน ที่อนาคตจะไม่ขาดน้ำอีกต่อไป

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ระบุชัดว่า ประเทศไทยมีปริมาณน้ำบาดาลกักเก็บอยู่รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.13 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร
ถือเป็น “ขุมทรัพย์ใต้ดิน ที่ใช้ยังไงก็ไม่มีวันหมด” บนแผ่นดินขวานทองของลูกหลานไทยโดยแท้.

...

ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม