กรมส่งเสริมสหกรณ์ ผุดไอเดียแลกเปลี่ยนผลผลิต รุกตลาดค้าออนไลน์ ช่องทางกระจายสินค้าสหกรณ์ยุคโควิด-19 พร้อมเชิญชวนอุดหนุนของดีราคาย่อมเยา
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงโควิด-19 ระบบโลจิสติกส์มีปัญหา ทำให้การกระจายสินค้าจากแหล่งผลิตไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะผลผลิตอายุสั้นอย่างผลไม้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ (กสส.) จึงมีนโยบายให้สหกรณ์ต่างๆ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน ข้าวของทางภาคอีสานแลกกับผลไม้ทางภาคใต้ในช่วงที่ผลไม้ออกมามากๆ เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน หรือแลกสินค้าประมง เช่น ปลาเค็ม ปลาหมึกแห้ง ปรากฏผลตอบรับดี สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรสมาชิกได้ระดับหนึ่ง โดยที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างข้าวกับผลไม้ (ข้อมูล ณ 30 ส.ค.64) ระหว่างสหกรณ์ด้วยกัน จำนวน 1,993.94 ตัน รวมมูลค่ากว่า 54.93 ล้านบาท แบ่งเป็น ข้าว 1,065.94 ตัน มูลค่า 27.97 ล้านบาท ผลไม้ 928 ตัน มูลค่า 26.95 ล้านบาท จากสถาบันเกษตรกรต้นทาง 34 แห่งใน 20 จังหวัด และสหกรณ์ปลายทาง/หน่วยงานราชการ 280 แห่งใน 61 จังหวัด แม้ว่าขณะนี้ปัญหาผลไม้ทางภาคใต้จะคลี่คลาย แต่ทว่าข้าวกลับมีปัญหา โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิในแถบภาคอีสานที่ขณะนี้ราคาตกต่ำเป็นประวัติการณ์ สนนราคาข้าวเปลือกขณะนี้อยู่ที่เกวียนละ 9,000-10,000 บาทเท่านั้น ขณะเดียวกันมีข้าวจากฤดูกาลที่แล้ว (ปีการผลิต 63/64)อยู่ในสต๊อกอีกจำนวนมาก ในขณะที่ผลผลิตข้าวในฤดูกาลใหม่ (ปีการผลิต 64/65) ที่กำลังจะออกมาในช่วงปลายปีนี้อีกจำนวนมหาศาล ทำให้หลายสหกรณ์มีความจำเป็นต้องระบายข้าวในสต๊อกเพื่อใช้ยุ้งฉางเป็นที่เก็บผลผลิตข้าวของฤดูกาลใหม่

...
ปัจจุบันมีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ดำเนินธุรกิจรวบรวม จำหน่ายและแปรรูปข้าว จำนวน 424 แห่ง ใน 56 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้มีสหกรณ์ที่ทำโรงสีได้มาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) ทั้งหมด 60 แห่ง ที่ผลิตสินค้าข้าวได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะอนามัยเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยแต่ละปีมีปริมาณข้าวที่รวบรวมผ่านระบบสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรกว่า 2.28 ล้านตัน รวบรวมเพื่อจำหน่วย 2.17 ล้านตันและรวบรวมเพื่อแปรรูป 0.11 ล้านตัน ประกอบด้วยข้าวสายพันธุ์ต่างๆ อาทิ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวหอมปทุม ข้าวขาว ข้าวเหนียวและข้าวตลาดเฉพาะ ได้แก่ ข้าว กข43 ข้าว กข79 ข้าวสีและข้าวพื้นเมือง เช่น ข้าวสังข์หยด ข้าวเจ๊กเชย ข้าวเหลืองปะทิว ข้าวไร่ดอกข่า เป็นต้น ส่วนการสนับสนุนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในการรวบรวมและแปรรูปผลผลิตนั้น กรมฯ ได้สนับสนุนอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น โกดัง ลานตาก เครื่องชั่ง ไซโล เครื่องอบลดความชื้น รถตักล้อยาง รถโฟล์คลิฟท์ เครื่องสีข้าว เครื่องขัดขาวและเครื่องยิงสี เป็นต้น
นอกจากมีการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างสหกรณ์ด้วยกันแล้ว ยังมีการจำหน่ายทางออนไลน์โดยผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Shopee Lazada หรือแอปพลิเคชันที่เราสร้างขึ้นมาเอง ได้แก่ Co-op click และ Co-op Shop เป็นต้น โดยกรมฯ ได้สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้กับสหกรณ์ต่างๆ โดยความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. นอกจากนี้ยังจัดโครงการอบรมให้ความรู้แก่สหกรณ์ในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่กระบวนการผลิต การแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการจำหน่ายสินค้าไปยังผู้บริโภค นอกจากการค้าทางออนไลน์แล้ว ยังมีร้านค้าสหกรณ์ที่เปิดให้บริการ ซึ่งในกรุงเทพฯ มีร้านค้าของชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย (ชสท.) ถ.งามวงศ์วาน ตรงข้ามม.เกษตรศาสตร์ บางเขน ร้านสหกรณ์กรุงเทพและร้านสหกรณ์พระนคร ส่วนต่างจังหวัด นอกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ จำนวน 770 แห่งทั่วประเทศแล้ว ยังมีศูนย์จำหน่ายสินค้าสหกรณ์ในแต่ละจังหวัดและสำนักงานสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศอีกด้วย

"ยุคโควิดเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ เราต้องช่วยเหลือดูแลกัน ลดค่าใช้จ่ายผู้บริโภคด้วย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าสหกรณ์ในจังหวัดต่างๆ ทั้งที่ร้านและในแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เราได้จัดเป็นช่องทางจำหน่าย นอกจากได้สินค้าดีมีคุณภาพแล้วยังได้ช่วยเหลือพี่น้องสมาชิกสหกรณ์อีกด้วย" อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว
นายณัฐพล แป้นนอก สหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า ร้อยเอ็ดมีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด กว่า 3 ล้านไร่ เป็นหอมมะลิ 105 ให้ผลผลิตทั้งหมดกว่า 9 แสนตันต่อฤดูการผลิต เฉพาะในส่วนของสหกรณ์ จ.ร้อยเอ็ด มีทั้งหมด 20 แห่งสามารถรวบรวมข้าวได้ประมาณ 1.7 แสนตัน มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท โดยมีโรงสีของสหกรณ์จำนวน 10 โรง และสหกรณ์ขนาดใหญ่สามารถรวบรวมผลผลิตข้าวมากที่สุดคือสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จำกัด ซึ่งขณะนี้มีข้าวค้างอยู่สต๊อกมากที่สุดปริมาณ 30,000 ตัน และขณะนี้ได้เสนอเรื่องไปยังผวจ.เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว สำหรับโครงการแลกเปลี่ยนสินค้าสหกรณ์ของกสส.ช่วยระบายข้าวได้มาก ซึ่งสามารถระบายออกไปได้กว่า 600 ตัน ส่วนพี่น้องชาวร้อยเอ็ดก็ได้รับประทานผลไม้สดๆ จากสวนด้วย
...

ด้านนายเรียม โกรัมย์ ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรกระสัง จำกัด อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า สมาชิกสหกรณ์กว่า 4,000 ครอบครัวขณะนี้อยู่ภาวะลำบาก เนื่องจากราคาข้าวเปลือกตอนนี้อยู่ที่ 9-10 บาทต่อก.ก.เท่านั้น หากสหกรณ์รับซื้อข้าวจากสมาชิกมาเก็บสต๊อกเพื่อแปรรูปเป็นข้าวสารก็ยังไม่มีช่องทางการจำหน่ายมากนัก จากที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนสินค้าสหกรณ์ โดยแลกผลไม้จากภาคใต้ สามารถระบายข้าวออกไปได้ประมาณ 100 ตัน ซึ่งก็ยังไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ จึงขอฝากไปยังพี่น้องคนไทยมาช่วยซื้อข้าวสหกรณ์กัน ของดีราคาถูกนั้นมีอยู่จริง.