"บุรีรัมย์" เจออีก 8 ราย ชาวบ้านติดโควิดฯ หวั่นเป็นคลัสเตอร์ใหม่ สั่งปิด 2 หมู่บ้านสกัดเชื้อร้าย เผยจังหวัดป่วยสะสมแล้ว 111 ราย สั่งเข้มคนต่างจังหวัดทุกสี เดินทางเข้าต้องกักตัว  

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.64 ที่ห้องประชุมสนามช้างอารีน่า นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นพ.พิเชษฐ พืดขุนทด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และ นพ.ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ร่วมกันแถลงข่าว หลังพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่ 2 หมู่บ้าน จากการร่วมงานสังสรรค์วันเกิดจำนวน 8 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดบุรีรัมย์ มีมติกำหนดให้บ้านสาวเอ้ หมู่ที่ 2 และบ้านหนองไผ่ หมู่ที่ 12 ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เป็นพื้นที่ควบคุม ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าหรือออกจากพื้นที่ ทั้ง 2 หมู่บ้าน เป็นเวลา 14 วันอย่างเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 จำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มีผลตั้งแต่เวลา 18.00 น. วันนี้ (2 พ.ค.) เป็นต้นไป เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดฯ ซึ่งการแพร่ระบาดในจังหวัดบุรีรัมย์นั้น เกิดจากการนำเชื้อมาจากพื้นที่ต่างๆ เดิมกำหนดเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม หรือเป็นพื้นที่สีแดง แต่กรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้เชื้อได้มาจาก จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่นอกการควบคุมในระยะเวลานั้น คือวันที่ 16 เม.ย.ก็ปรากฏว่ามีมาตรการที่ไม่เข้มงวด ทำให้เชื้อสามารถแพร่ระบาดเข้ามาได้ นอกจากนี้ทางจังหวัดยังออกมาตรการเข้ม ให้คนที่เดินทางเข้ามาใน จ.บุรีรัมย์ ไม่ว่าจะพื้นที่สีแดงหรือไม่ก็ตาม ต้องกักตัว 14 วัน เพื่อยับยั้งการระบาดเพิ่ม ภายหลังทั้งจังหวัดพบผู้ป่วยติดเชื้อสะสมแล้ว 111 ราย

...

ด้าน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า การติดเชื้อในพื้นที่ มาจากคนต่างจังหวัด หลังสงกรานต์มีการแพร่เชื้อจากคนต่างจังหวัดเข้าสู่คนบุรีรัมย์ หลังจากนั้นก็เป็นจากคนบุรีรัมย์สู่คนบุรีรัมย์ด้วยกันเอง ขณะนี้ปัญหาที่พบและน่าห่วงที่สุด พบอยู่ในพื้นที่บ้านสาวเอ้ หมู่ที่ 2 คุ้มโนนเต่าทอง ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่มีการจัดงานสังสรรค์ช่วงวันที่ 16-18 เม.ย.64 โดยมีประชาชนชาว จ.สระแก้ว มาร่วมงานด้วยในช่วงนั้น ซึ่งพบว่าในพื้นที่บ้านโนนเต่าทอง มีการติดเชื้อโควิดฯทั้งหมด 7 ราย ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนอีก 1 ราย พบที่บ้านโนนสาวเอ้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเดียวกัน แต่คนละคุ้มบ้าน โดยพื้นที่ดังกล่าวมีบ้านเกือบ 500 หลังคาเรือน ประชากรประมาณ 1,000 คน ถือว่าเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงในการระบาด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปิดหมู่บ้าน เพื่อสอบสวนโรคว่ามีการระบาดเพิ่มเติมในพื้นที่หรือไม่ และเพื่อเป็นการยับยั้งไม่ให้มีการแพร่กระจายออกไปสู่พื้นที่อื่นๆ ด้วย