ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ศรีสะเกษ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ประหารชีวิต "ผู้กองเหน่ง" ฆ่า "ผอ.อ้อย" แก้ค่าขาดไร้อุปการะฯ จาก 2.3 ล้าน เพิ่มเป็น 3.5 ล้าน

เวลา 10.00 น. วันที่ 1 ก.ย. 63 ที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.18/2561 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดกันทรลักษ์ โจทก์ กับ ร.อ.ศุภชัย ภาโส จำเลย ฐานความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อเสรีภาพ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ลักทรัพย์ รับของโจร มี นางสุชาวดี ปทุมอินทน์ จำเลยที่ 2, นายวิฑูรย์ ท้าวแก้ว จำเลยที่ 3 และนายประกรรษวัต คณะพันธ์ จำเลยที่ 4 ในคดีความผิดฐานร่วมกันรับของโจรทรัพย์ดังกล่าวของผู้ตาย ลักทรัพย์เงินสด 11,774 บาท และ 1,620 บาทของผู้ตาย เอาไปเสียซึ่งเอกสารใดของผู้อื่น เอาไปเสียหรือยึดไว้ซึ่งบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่น ร่วมกันปลอม และใช้เอกสารปลอม ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น และเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น

จากคดี น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย ผอ.กองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หายตัวไปนานกว่า 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจและญาติพี่น้องออกตามหา ผอ.อ้อยที่หายไปอย่างลึกลับ จนกระทั่งวันที่ 23 ต.ค. 60 จึงพบกะโหลกศีรษะ โครงกระดูก เส้นผม เข็มขัดนาฬิกาของ ผอ.อ้อยในป่าใกล้ชายแดนสามเหลี่ยมมรกต อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กลายเป็นคดีฆาตกรรมที่ซับซ้อน มี ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง ตกเป็นผู้ต้องสงสัย พนักงานสอบสวนจึงได้เรียก ร.อ. ศุภชัย มาพบที่ บก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 แจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก คือ 1.ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2.หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 3.ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ

...

จนกระทั่งต่อมา วันที่ 14 มี.ค. 2562 ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษประหารชีวิต ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง จำเลยที่ 1 สถานเดียว ส่วนผู้ต้องหาที่ 2-4 ให้ยกฟ้อง

วันนี้ 1 ก.ย. 63 ผู้พิพากษาศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 โดยใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานร่วม 3 ชั่วโมง และมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ ให้ประหารชีวิต ร้อยเอกศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง สถานเดียว ส่วนคดีทางแพ่ง แก้เป็นให้จำเลยชำระค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็น ค่าขาดไร้อุปการะและขาดแรงงานในครัวเรือนแก่โจทก์ร่วมที่ 1-4 จากเดิมรวมเป็นเงิน 2,376,000 บาท เป็น 3,510,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

หลังจากที่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายประสิทธิศักดิ์ ฝอยทอง ประธานสภาทนายความจังหวัดกันทรลักษ์ ซึ่งทำหน้าที่ทนายความฝ่ายโจทก์ กล่าวว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว แต่มีแก้ในเรื่องของคดีแพ่ง ให้ค่าขาดไร้อุปการะและขาดแรงงานในครัวเรือนแก่โจทก์ร่วมที่ 1-4 จากเดิมรวมเป็นเงิน 2,376,000 บาท เพิ่มเป็น 3,510,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ที่ชดใช้ให้ผู้เสียหาย

"ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งชุดสืบสวนภาค 3 ตำรวจกองปราบปรามและชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ และท่านอัยการ ที่รวบรวมหลักฐานจนสามารถส่งฟ้องจำเลยได้ ส่วนการเตรียมตัวในชั้นฎีกาก็ต้องรอดูทางจำเลยว่าจะฎีกามาในประเด็นไหน ซึ่งจำเลยต้องยื่นฎีกาภายใน 30 วัน หากไม่ทันก็สามารถขอขยายได้ครั้งละ 1 เดือน แล้วแต่ดุลพินิจของศาล"

ด้านนางแหลม อุ่นอ่อน แม่ของ ผอ.อ้อย กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลอุทธรณ์ท่านได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือให้ประหารชีวิตจำเลย แต่ตนก็ยังไม่สบายใจเหมือนเดิม เพราะไม่สามารถจะทำให้ลูกกลับคืนมาได้ ทุกคืนที่ผ่านมา ตนนอนไม่หลับคิดมากมาตลอดที่สูญเสียลูกสาวที่เป็นเสาหลักของครอบครัวไป ทุกข์หนักทั้งกายและใจ ส่วนนายบุญเลิศ อุ่นอ่อน พ่อของ ผอ.อ้อย กล่าวว่า ถึงศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่งแต่ตนก็ยังรู้สึกเคียดแค้นอยู่ จะไม่ยอมให้อภัยหรืออโหสิให้.