ตำรวจเริ่มตีวงแคบหลังจำกัดวงผู้ต้องสงสัยคดีน้องชมพู่เหลือ 2 คน หลังคนแรกคำให้การมีความน่าสงสัย คนที่สอง เคยมีประวัติคดีทางเพศและคลิปลามกในมือถือ โดยยังรอผลตรวจดีเอ็นเอมาเปรียบเทียบอีกที

เมื่อวันที่ 21 พ.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากคดีการตายปริศนาของน้องชมพู่วัย 3 ขวบ หลังหายออกจากบ้านในพื้นที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ผ่านไป 4 วัน พบเป็นศพในป่าภูเหล็กไฟ หมู่ 3 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ห่างจากบ้านไปราว 1.7 กม.

ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ระดมชุดสืบสวนมาร่วมคลี่คลายในคดีนี้นับร้อยคน โดยแบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ ชุดสืบสวนจากส่วนกลางของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 และชุดสืบสวนภูธรจังหวัดมุกดาหาร โดยทุกคนจะประชุมร่วมกันในทุกวันเพื่อมอบหมายกันทำหน้าที่ โดยชุดสืบสวนจากส่วนกลางรับผิดชอบการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบุคคลต่างๆ ที่พบในช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงเวลาเกิดเหตุ แล้วนำมาสอบถามจุดที่อยู่ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ในการสนับสนุน

ขณะที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 รับผิดชอบการค้นหาตัวผู้ต้องสงสัย สแกนหาบุคคลที่เข้าข่ายน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งช่วงอำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร และช่วงอำเภอเต่างอย จังหวักสกลนคร และชุดสืบสวนภูธรจังหวัดมุกดาหาร รับผิดชอบการค้นหาพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐานที่คาดว่าจะหลงเหลืออยู่ โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ มีกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนในการตายของน้องชมพู่ทั้งหมด 7 คน


ล่าสุด ขณะนี้มีรายงานข่าวว่า ตำรวจเริ่มตีวงแคบลงมาเหลือเพียง 2 คน โดย 2 คนนี้หนึ่งคนเป็นคนที่ทำหน้าที่เก็บของป่า ตัดต้นไม้ ซึ่งเจ้าหน้าที่เคยนำตัวมาสอบปากคำแล้ว แต่การให้ปากคำของเจ้าตัวน่าสงสัยในหลายเรื่อง บางครั้งมีการจับผิดได้ว่าเจ้าตัวมีการโกหกกับทางตำรวจด้วย และอีกหนึ่งคนเคยมีประวัติเกี่ยวกับคดีทางเพศ รวมถึงมีความหมกหมุ่นทางจิตเกี่ยวกับเรื่องเพศ และเป็นเพียงคนเดียวใน 7 คนที่มีคลิปลามกไว้ในโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก ขณะที่การตรวจร่างกายของ 2 คนที่เป็นผู้ต้องสงสัย มีร่องรอยคล้ายกับถูกหยิก หรือบาดในเนื้อตัวบางจุด ซึ่งเจ้าตัวก็อ้างว่าเป็นร่องรอยที่เข้าไปหาของในป่าแล้วโดนกิ่งไม้บาด ซึ่งตำรวจไม่ได้ปักใจเชื่อคำให้การนี้มากนัก โดยมีการตรวจดีเอ็นเอไปเทียบเคียงกับพยานหลักฐานอื่นๆ ที่เก็บได้จากศพของน้องชมพู่แล้ว

...

เวลานี้ตำรวจมีตัวผู้ต้องสงสัยหลักแล้วอยู่ 1 คน แต่อุปสรรคของคดีนี้ คือ หลักฐานที่จะไปเชื่อมโยงสู่ตัวผู้ต้องสงสัยรายนี้ เพราะการสอบปากคำพยานเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถนำไปสู่การออกหมายจับได้ ต้องอาศัยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในร่างกายศพ คือ การตรวจดีเอ็นเอที่จะนำไปเทียบเคียงกับตัวผู้ต้องสงสัย แต่ระยะเวลาที่ศพจะเดินทางไปถึงสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ นั้นก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ทำให้ร่างกายเปลี่ยนสภาพ และหลักฐานบางอย่างหายไป ทำให้ต้องมีการตรวจอย่างละเอียดที่สุด เพื่อให้สามารถมัดตัวผู้ต้องสงสัยได้

ตอนนี้การตรวจสอบสภาพดีเอ็นเอภายในศพน้องชมพู่นั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการตรวจพิสูจน์หลักฐานจากสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลางที่จะนำมาประกอบกัน ทำให้ต้องอาศัยระยะเวลาสักพักหนึ่งก่อน ซึ่งหากทั้งสองอย่างตรงกันแล้ว คาดว่าจะสามารถออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้ได้อย่างแน่นอนอีกด้วยเช่นกัน.