"อนุทิน" ไปอุบลราชธานี เยี่ยมเด็ก 4 ขวบตาโปน ทราบความจริงหมอไม่ได้ปฏิเสธรักษา โดยมีการรักษาไปแล้วโดยเด็กป่วยเป็นลูคีเมียจึงต้องรักษาต่อเนื่อง พร้อมประสานหาสูติบัตรเด็กเพื่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ

เมื่อวันที่ 6 พ.ค.63 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รุดเยี่ยมสอบถามอาการเด็กหญิง 4 ขวบป่วยตาโปนจากโรคลูคีเมีย ทราบความจริงหมอไม่ได้ปฏิเสธรักษา ตรงข้ามช่วยประสานให้เด็กที่มีแม่เป็นคนลาว และไม่ได้แจ้งเกิดได้รับสิทธิ์ต่างๆ ตามสิทธิ์หลักดินแดนที่มีพ่อเป็นคนไทย และเกิดในประเทศไทยด้วย ที่หอผู้ป่วยเด็กโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวไป จ.อุบลราชธานี เพื่อสอบถามอาการเด็กหญิง 4 ขวบ ป่วยตาโปนจากโรคลูคีเมีย ที่หอผู้ป่วยเด็กโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี โดยมีนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 10 นายแพทย์สุวิทย์ โรจนศักดิ์โสธร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ คณะแพทย์ที่ให้การรักษาให้ข้อมูลแก่นายอนุทิน

...

นอกจากเยี่ยมดูการรักษาเด็กหญิงคนดังกล่าวแล้ว นายอนุทิน ยังถือโอกาสแวะเยี่ยมพูดคุยทักทายกับผู้ป่วยเด็กรายอื่นๆ ที่นอนรักษาตัวอยู่ที่หอผู้ป่วยเด็กของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ด้วยความเป็นกันเอง โดยสอบถามป่วยเป็นอะไรกันบ้าง พร้อมมอบขนมและเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ปกครองเด็กที่มาพักรักษาตัวจากอาการป่วยด้วยโรคอื่นๆ ด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เป็นวันหยุดและเห็นข่าวที่ปรากฏตามสื่อว่า เด็กไม่มีสัญชาติ โรงพยาบาลจึงปฏิเสธการรักษา ก็เลยมาดูปรากฏเป็นข่าวไม่ถูกต้อง โรงพยาบาลไม่ได้ปฏิเสธการรักษา และรับไว้รักษาตามปกติ นอกจากนี้ยังประสานกับทางจังหวัดอุบลราชธานีทำใบเกิด หรือ สูติบัตรให้เด็ก เพราะพ่อเป็นคนไทย โดยเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ แต่ไม่ได้แจ้งเกิด จึงประสานให้ได้ใบเกิด เพื่อเอามาใช้สิทธิ์ต่างๆ ได้ โดยโรงพยาบาลได้ทำการรักษาไปตามหลักมนุษยธรรมล่วงหน้าไปแล้ว และทราบว่าเด็กป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย (Leukemia) ต้องให้การรักษาไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งโรงพยาบาลจะดำเนินการรักษาต่อไป

ด้านนางบุญเพ็ง (ขอสงวนนามสกุล) ย่าของเด็ก กล่าวว่า หลังมารักษาที่โรงพยาบาล หลานสาวได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลอย่างดี ไม่ใช่เฉพาะหลานของตนเท่านั้น แต่คนไข้เด็กรายอื่นก็ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ทุกคนเช่นกัน.