พบศพสาวอุบลฯ หน้าฟกชำ-มีแผลแตกคิ้วซ้าย นอนตายหน้าบ้านพัก ไม่พบร่องรอยต่อสู้ คุมตัวสามีหนุ่มก่อสร้างสอบ สารภาพทำร้าย แต่ไม่ได้ฆ่า เบื้องต้นตำรวจยังไม่แจ้งความ รอสร่างเมาเค้นสอบอีกคลี่ปมสังหาร
เมื่อเวลา 21.10 น. วันที่ 17 มี.ค.63 พ.ต.ท.นิกุล หนูสิน สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองอุบลราชธานี รับแจ้งเหตุหญิงสาวถูกทำร้ายร่างกายเสียชีวิต ภายในบ้านพักเลขที่ 317 ม.1 ต.แจระแม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิศิษย์พระจี้กงอุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่กู้ชีพคุณธรรม
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณลานดินหน้าบ้าน พบศพ น.ส.วิไลพร เรืองพล อายุ 38 ปี สภาพศพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ นุ่งกางเกงยีนส์ขาสั้น ไม่สวมรองเท้า ใบหน้าฟกช้ำมีแผลบริเวณคิ้วซ้าย คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2-3 ชั่วโมง ตรวจสอบโดยรอบไม่พบร่องรอยการต่อสู้
จากการสอบถาม นายฟ้าปกรณ์ เรืองพล อายุ 42 ปี พี่ชายผู้ตาย เล่าว่า น้องสาวมีสามีรุ่นน้องอายุ 32 ปี ชื่อ นายวิชัย มีอาชีพเป็นคนงานก่อสร้าง ทั้งคู่มักจะดื่มสุราด้วยกันทุกวัน และจะทะเลาะทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บเป็นประจำ ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ (17มี.ค) ทั้งคู่นั่งดื่มสุรากันในบ้าน จากนั้นก็ทะเลาะกันอีกเช่นเดิม ตนจึงได้ออกจากบ้านไปหาเพื่อน กลับเข้ามาประมาณ 20.00 น. พบน้องสาวนอนอยู่ลานดินหน้าบ้าน ตนคิดว่าเมาจึงได้เข้าบ้านไปเอามุ้งครอบมากางให้ แล้วกลับเข้าไปนอน หลังจากนั้นรู้สึกไม่สบายใจ จึงออกไปดูอีกครั้ง โดยการเอาเท้าเขี่ยแต่ก็ไม่ตื่น พอเห็นว่าไม่หายใจแล้ว จึงไปตามญาติมาดูพบว่าเสียชีวิต จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ ส่วนผู้ก่อเหตุคาดว่าน่าจะเป็นสามีน้องสาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุอยู่นั้น นายวิชัย บุญจิ่ม อายุ 32 ปี สามีผู้ตาย ได้ปั่นจักรยานเข้ามาที่เกิดเหตุพร้อมอาหารและน้ำดื่ม เจ้าหน้าที่ตำรวจึงได้เข้าควบคุมตัวนายวิชัยมาสอบสวน เบื้องต้นนายวิชัยยังอยู่ในอาการเมาสุราให้การวกวน แต่ให้การรับสารภาพว่า วันนี้ได้ทำร้ายร่างกาย น.ส.วิไลพร จริง แต่ไม่ได้ฆ่า เพราะหลังจากที่ทะเลาะกันก็กลับไปนอนบ้านแม่ ส่วน น.ส.วิไลพรก็เดินกลับมาบ้าน จนมาทราบอีกทีว่าตายแล้ว จึงปั่นจักรยานมาดู และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวดังกล่าว
...
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับนายวิชัย เพียงแต่ควบคุมตัวไว้ ก่อนสอบสวนสาเหตุที่แท้จริง หลังส่างเมาในช่วงเช้า ส่วนร่างผู้ตาย นำส่งแผนกนิติเวชโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี เพื่อชันสูตรหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป