สืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น รวบอดีตช่างทองพ้นคุกตั้งแก๊งทำทองปลอมขาย-จำนำทั่วอีสาน ได้เกือบ 8 ล้าน อ้างหาเงินใช้หนี้ ธ.ก.ส. ผบช.ภ.4 เตือนร้านทอง ต้องตรวจดูทุกเส้นอย่างละเอียด

เวลา 16.00 น. วันที่ 21 ม.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผบช.ภ.4 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ยรรยง เวชโอสถ รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสารกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว นางสุภาพ ดำดิน อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 188 ม.7 ต.เวียงคำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี นายปกรณ์ คำลือ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 ซ.เทียนทะเล 22 แยก 10 ถ.บางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ และนายธนากร ทองอ้น อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 ม.2 ต.แจนแวน อ.ศรีณรงค์ จ.สุรินทร์ พร้อมของกลาง รถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์วี สีดำ หมายเลขทะเบียน ขข 2289 อุดรธานี รถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ สีม่วง หมายเลขทะเบียน ขม 6933 ขอนแก่น บัตรประชาชน 7 ใบ เงินสด 65,000 บาท ใบรับจำนำทองรูปพรรณ 70 ใบ สร้อยคอทองคำรูปพรรณ สมุดบัญชีธนาคาร และสมุดบันทึกการจำนำทองรูปพรรณอีกจำนวนมาก

ตรวจยึดอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องการปลอมทอง ทำทองปลอม มี เตาแก๊ส ขนาด 4 กิโลกรัม พร้อมหม้อต้ม เครื่องรีดโลหะ เครื่องพิมพ์ลายพร้อมแท่น ชุดหัวไฟเป่าทองพร้อมอุปกรณ์ และเครื่องชักลวดหรือแท่นยืดโลหะ

พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดอยู่ในขบวนการทำการปลอมทอง หรือทำทองปลอม ที่ตำรวจแกะรอยและเฝ้าติดตามพฤติกรรมมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้รับแจ้งจากร้านจำหน่ายทองคำรูปพรรณในเมืองขอนแก่น ว่า นายธนากร ได้นำทองคำรูปพรรณมาจำนำ แต่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยคือนำทองรูปพรรณมาจำนำที่ร้าน น้ำหนักเท่ากันและลายเดียวกันบ่อยครั้ง และไม่เคยต่อดอกเบี้ยหรือติดต่อไถ่ถอน ร้านทองจึงนำทองคำไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นทองปลอม มีส่วนผสมทั้งทองเหลือง เงิน และนิกเกิล ซึ่งเป็นการปลอมทอง โดยการนำทองแท้ในปริมาณน้อยมาเจือกับโลหะ จึงประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ และวางแผนจับกุม

...

จนล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา นายธนากร นำทองรูปพรรณน้ำหนัก 2 บาท มาจำนำที่ร้านทองร้านเดิม ทางร้านจึงแจ้งให้ตำรวจเข้าควบคุมตัวทันที จากนั้นนำตัวเข้าตรวจค้นที่บ้านเช่าเลขที่ 76 ม.21 บ้านโคกฟันโปง ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น พบอุปกรณ์ทำทองและของกลางจำนวนมาก จึงตรวจยึดมาทั้งหมด

จากการสอบสวน นายธนากร ให้การว่า เคยเป็นช่างทองในกรุงเทพฯ ได้เรียนรู้วิธีการทำทองและชุบทอง รวมทั้งการปลอมแปลงทอง เคยถูกจับกุมในคดีปลอมทองที่ จ.ศรีสะเกษ และเพิ่งพ้นโทษมาเมื่อปี 2561 จึงกลับมาร่วมกับนางสุภาพและพวกรวม 7 คน ตั้งแก๊งปลอมทอง โดยจะซื้อทองคำรูปพรรณของจริงน้ำหนักเส้นละ 1 บาทจากร้านขายทองที่มีชื่อเสียง จากนั้นมาเข้าสู่กระบวนการหลอมทองตามขั้นตอน คู่กับส่วนผสมที่เรียนมา มีทั้งเงิน นิกเกิล น้ำยาประสาน และตะกั่ว ซึ่งเมื่อหลอมรวมกันแล้วก็นำมายืด พิมพ์ลาย และชุบทองอีกครั้งให้มีลักษณะเท่ากับของจริง ซึ่งในการตรวจยึดอุปกรณ์นั้นพบว่าทั้งหมดถูกสั่งซื้อมาจากร้านเครื่องมือช่างและร้านจำหน่ายทองคำ จึงสามารถที่จะทำทองปลอมได้เหมือนกับทองจริงอย่างมาก ซึ่งทอง 1 บาทที่คนร้ายซื้อมานั้น สามารถทำทองปลอมได้ 2 บาท

พล.ต.ท.เจริญวิทย์ กล่าวต่ออีกว่า เมื่อได้ทองคำรูปพรรณที่เป็นทองปลอมแล้วก็จะมีหน้าม้าที่ร่วมขบวนการ ตัวหลักคือนายธนากร ตระเวนนำทองไปจำนำตามร้านทองในเขต จ.ขอนแก่น ศรีสะเกษ และอุดรธานี โดยใช้บัตรประชาชนของผู้ร่วมขบวนการ และเน้นร้านที่มีการตรวจสอบไม่ค่อยละเอียด หรือมีเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อได้เงินมาแล้วจะมีการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรกจะเป็นค่าจ้างในการทำทองคำ ที่จ่ายค่าแรงให้บาทละ 1,000 บาท ที่เหลือจะมาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ใช้ในการลงทุนซื้อทองจริงในครั้งต่อไป และอีกครึ่งหนึ่ง มาแบ่งผู้ร่วมขบวนการที่มีด้วยกันอยู่ทั้งหมด 7 คน

ผบช.ภ.4 กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นางสุภาพ เพิ่งพ้นโทษในคดีเดียวกันที่ จ.ภูเก็ต เมื่อปี 2560 และนายปกรณ์พ้นโทษในคดีเดียวกันมาเมื่อปี 2561 จึงมารวมตัวกันตั้งแก๊งผลิตทองปลอมจำนำในร้านทองคำต่างๆ เฉพาะ จ.ขอนแก่น ตกเป็นเหยื่อแล้ว 4 ร้าน

"พบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดค้าทองปลอมมาแล้วรวม 76 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมไม่น้อยกว่า 7,600,000 บาท ซึ่งนายปกรณ์และนางสุภาพ สารภาพว่าเงินที่ได้จากการขายทอง จะนำไปใช้หนี้ที่ยืมมาโดยเฉพาะ หนี้ธ.ก.ส.ของครอบครัว จึงขอฝากไปถึงร้านทองต้องตรวจสอบทองคำทุกเส้น และตรวจสอบบัตรประชาชนที่ผู้นำทองไปจำนำหรือนำไปจำหน่ายอย่างละเอียด ซึ่งได้สั่งการให้ชุดสืบสวนทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 4 ราย รวมทั้งขบวนการปลอมทองในภาคอีสานอย่างเร่งด่วน"

เบื้องต้น ผู้ต้องหาสารภาพว่าทำการปลอมทองจริง และนำไปจำนำจริง จึงตั้งข้อกล่าวหว่า ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ดำเนินคดีต่อไป.