ตำรวจคุมตัว "ส.อ.เรืองศักดิ์" ร่วมชิงทองบิ๊กซีขอนแก่น กว่า 400 บาท ทำแผน สารภาพสิ้นไส้ เร่งล่าตัวอีกราย หลังทราบเบาะแสหนีออกจากลาว กลับเข้าไทยแล้ว
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 ต.ค.62 ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีขอนแก่น ริมถนนมิตรภาพ ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และชุดสืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น คุมตัว ส.อ.เรืองศักดิ์ พันธ์ทอง อายุ 60 ปี ชาว จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดขอนแก่น ที่ 226/62 ในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยและทางการ สปป.ลาว ร่วมกันจับกุมตัวได้ที่ สปป.ลาว เมื่อวานที่ผ่านมา ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (7 ต.ค.) พร้อมของกลางเป็นเงินสด 380,000 บาท เงินกีบ 829,000 กีบ (คิดเป็นเงินไทยจำนวน 3,316 บาท) ทองคำหลอมเป็นแท่งน้ำหนัก 494 กรัม สร้อยคอทองคำ 2 เส้นน้ำหนัก 152 กรัม กำไรข้อมือทองคำ 3 วง น้ำหนัก 136 กรัม โดยผู้ต้องหารับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา ให้การว่านำทองไปขายแลกเงินไว้ใช้จ่ายทั่วไป
ซึ่งการทำแผนในช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อนุญาตให้สื่อหมวลชน หรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในบริเวณร้านทองที่เกิดเหตุ ขณะที่ตำรวจได้พาผู้ต้องหาชี้จุดแต่ละจุดในการก่อเหตุ โดยจุดแรกเป็นจุดที่ผู้ต้องหาที่ถูกจับกับนายชัยมงคล ที่หลบหนีมานั่งภายในศูนย์อาหารของห้าง ก่อนจะลงมือก่อเหตุในเวลา 19.00 น. ในช่วงที่ร้านกำลังจะปิดให้บริการ โดย ส.อ.เรืองศักดิ์ ทำหน้าที่ใช้อาวุธปืนยืนคุมเชิง และขู่ไม่ให้ใครขัดขืน แล้วให้นายชัยมงคลเข้าไปกวาดเอาทรัพย์สินเป็นทองรูปพรรณจำนวน 437 บาท ใส่กระเป๋า แล้วทั้งคู่ก็วิ่งหลบหนีออกจากห้างไปทางประตูด้านหลัง เรียบกำแพงไปทางศาลพระภูมิ ก่อนจะหลบหนีไปขึ้นรถภายในพื้นที่ห้างสรรพสินค้าออกไป
...
ด้าน พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กล่าวว่า ภายหลังจากทางการลาวและตำรวจไทยร่วมกันจับกุมตัว ส.อ.เรืองศักดิ์ ได้แล้ว พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ ซึ่งผู้ต้องหารับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหาว่า ร่วมกับนายชัยมงคลก่อเหตุดังกล่าว เพื่อหาเงินมาใช้ และหลังจากก่อเหตุเสร็จได้หลบหนีไปหาญาติของนายชัยมงคล ที่ จ.ชัยภูมิ และนำทองไปขายที่ร้านทองในพื้นที่ อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ เพื่อเป็นค่าเดินทางในการหลบหนีข้ามฝั่งไปยัง สปป.ลาว โดยให้ 3 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ คือ นายสุพจน์ เพชรรังสี อายุ 52 ปี และ นายไพรวัน ญาบัณฑิต อายุ 53 ปี ทั้งคู่ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันรับของโจร และช่วยให้ผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดโดยไม่ให้ถูกจับกุม เป็นผู้พาหลบหนีไปขึ้นเรือที่ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และนำทองไปขายให้ โดยมีผู้ต้องหาอีกคน คือ นางจันทจร โปลาแสน อายุ 44 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและดำเนินคดีในข้อหารับของโจร และเหลือผู้ต้องหาในคดีนี้อีก 1 คน คือ นายชัยมงคล ใจบุญอุปถัมป์ อายุ 37 ปี ซึ่งตอนนี้เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดขอนแก่น ในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ ซึ่งล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเบาะแสว่า หลบหนีออกจาก สปป.ลาว ย้อนกลับเข้ามาประเทศไทยและอยู่ระหว่างการติดตามตัวของเจ้าหน้าที่ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายด้วยเช่นกัน.