หัวหน้าแผนกช่าง เข้ามอบตัว ปัดข่มขืนสาวห้างวัย 19 อ้างสมยอมทั้งสองฝ่าย ก่อนโกหกว่าท้อง เรียกเงิน 3 แสน จึงต้องยอมสารภาพกับเมีย และเมียพาไปตรวจ พอไม่ได้เงินก็แจ้งความถูกข่มขืน
จากกรณีแม่พาลูกสาววัย 19 ปี ซึ่งเป็นพนักงานขายเครื่องมือช่าง ห้างขายอุปกรณ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ว่าโดนหัวหน้าแผนกเครื่องมือช่าง ซึ่งเป็นหัวหน้า ลวงไปข่มขืนกระทำชำเรา 4 ครั้ง แลกกับการให้ผ่านการทดลองงาน หากไม่ยอมจะนำคลิปไปประจาน แถมยังถูกเพื่อนร่วมงานมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ด่าประจาน จนทนไม่ได้จึงเล่าให้แม่ฟัง และมาแจ้งตำรวจเพื่อดำเนินคดีจนถึงที่สุด
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 5 มิถุนายน ร.ต.อ.บรรจง พาโคตร รอง สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับการติดต่อขอมอบตัวจาก นายฤทธิ์ดิเรก (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ชาว จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ จ 261/2562 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม ข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้นั้นเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น” ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง จึงควบคุมตัวนำส่ง พล.ต.ต.วรณัฎฐ์ ผันผ่อน ผบก.ภ.จ.อุดรธานี พ.ต.อ.สรายุทธ ฉ่ำผิว ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี ร.ต.ท.หญิงกิตติยาภรณ์ แก้วมุงคุณ รอง สว.(สอบสวบ) สภ.เมืองอุดรธานี ทำการสอบสวน
จากการสอบสวน นายฤทธิ์ดิเรก ให้การภาคเสธ ว่าได้ร่วมหลับนอนกับผู้เสียหายจริง แต่ไม่ได้ข่มขู่ หรือข่มขืนแต่อย่างใด แต่เป็นการสมยอมของทั้งสองฝ่าย โดยตนเป็นหัวหน้าแผนกเครื่องมือช่าง เงินเดือน 3 หมื่นบาท ส่วน น.ส.บี ซึ่งเป็นพนักงานใหม่ มาสมัครทำงานเมื่อต้นปี 2562 ตำแหน่งพีซีแผนกเครื่องมือช่าง ระยะแรกไม่มีปัญหา แต่พอเข้าเดือนที่ 3 น.ส.บี มักจะเข้ามาพูดหยอกล้อ ถูกเนื้อต้องตัวตน โดยเฉพาะเวลาทำงาน เวลาอยู่กันสองต่อสองในห้องทำงาน ก็จะมาบีบนวดไหล่ เอาหน้าอกมาถูหลัง ซึ่งตนพยายามไม่ตอบโต้ เพราะภรรยาของตนซึ่งกำลังตั้งครรภ์ก็ทำงานอยู่ในห้างนี้ด้วย เกรงว่าจะมีปัญหา
...
นายฤทธิ์ดิเรก ให้การต่อว่า แต่ น.ส.บี กลับทำหนักขึ้น ด้วยการจับอวัยวะเพศตนเล่นขณะทำงาน ก่อนเกิดเหตุ ตนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้อง น.ส.บี เข้ามาบีบนวดไหล่ เอาหน้าอกมาถูแผ่นหลัง และยังเอามือจับอวัยวะเพศตนอีก ทำให้ตนมีอารมณ์ทางเพศ จึงได้ชวนกันนั่งรถเก๋งของตนไปที่สวนสาธารณะหนองแด ซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ช่วยกันสำเร็จความใคร่ให้กัน ครั้งที่สองก็ได้ชวนกันไปอีก แต่คราวนี้ น.ส.บี มีอะไรกับตนในรถ ส่วนครั้งที่ 3 และ 4 น.ส.บี ได้ขี่รถจักรยานยนต์ชวนตนไปร่วมหลับนอนที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับห้าง ซึ่งทุกครั้งไม่มีการสวมถุงยางป้องกัน
นายฤทธิ์ดิเรก ให้การต่อไปว่า หลังจากร่วมหลับนอนกันครั้งที่ 4 ผ่านไป 2 สัปดาห์ น.ส.บี ก็มาบอกตนว่าประจำเดือนไม่มา คาดว่าจะตั้งครรภ์ ทำให้ตนคิดหนักมาก เพราะว่าภรรยาตนก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ต้องการเงิน 1 แสนบาทเป็นค่าเสียหาย ตนไม่มีเงินให้ จึงตัดสินใจไปเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟัง ภรรยาตนได้พา น.ส.บี ไปตรวจการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี ผลปรากฏว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ ทำให้ น.ส.บี โกรธ และเล่าเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับตนให้แม่ฟัง
ซึ่งต่อมาแม่ น.ส.บี ได้มาแจ้งความดำเนินคดีกับตนที่ สภ.นาข่า และเรียกค่าเสียหายจากตน 3 แสนบาท ซึ่งตนต่อรองเหลือ 3 หมื่นบาท แต่ทั้งสองก็ไม่รับ กระทั่งมารู้อีกทีว่ามีหมายจับจึงมามอบตัว
"ตนขอปฏิเสธว่า ไม่ได้เอาตำแหน่งหน้าที่งานไปข่มขู่ น.ส.บี ให้ไปร่วมหลับนอนแต่อย่างใด ถ้าจะว่าตนกับ น.ส.บี รักชอบพอกันก็น่าจะถูกต้องกว่า ติดตรงที่ตนมีภรรยาแล้วเท่านั้น เพราะพวกตนจะลักลอบส่งข้อความกุ๊กกิ๊กกันทางไลน์ พอกลับบ้านตนก็จะลบไลน์ออก เพื่อไม่ให้ภรรยาทราบ กระทั่งชวนกันไปร่วมหลับนอน ก็ไม่เคยข่มขู่ หรือใช้กำลังข่มขืน พอ น.ส.บี มาโกหกตนว่าตั้งครรภ์และเรียกเงินไม่ได้ จึงไปบอกแม่มาแจ้งความดำเนินคดี เพื่อแบล็กเมล์ตน ซึ่งตนมีคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือจริง แต่ไม่ใช่การคลิปการข่มขืน ซึ่งจะนำไปต่อสู้ในชั้นศาล"
ขณะที่ แม่นายฤทธิ์ดิเรก ผู้ต้องหา เปิดเผยว่า นายฤทธิ์ดิเรก ผ่านมีการมีภรรยามาแล้ว 3 คน มีลูก 4 คน ซึ่งภรรยาคนแรก และคนที่สอง แยกทางกันไปแล้ว ส่วนภรรยาคนที่ 3 กำลังตั้งครรภ์ น.ส.บี และเพื่อนร่วมงานก็เคยไปกินข้าวที่บ้านของตน ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติ กระทั่งลูกชายมาถูกออกหมายจับจึงตกใจมาก แต่เชื่อว่าลูกชายไม่ได้ข่มขืนลูกน้องแน่นอน
ด้าน พล.ต.ต.วรณัฎฐ์ ผันผ่อน ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตำรวจต้องฟังทั้งสองด้าน ให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ผู้เสียหายกล่าวหาบังคับข่มขืนใจ ส่วนผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้ร่วมหลับนอนจริง เป็นการสมยอม แต่ไม่ได้ข่มขืน แม่และผู้เสียหายมีการเรียกเงิน 3 แสน เมื่อไม่ได้จึงมีการแจ้งความว่าบังคับข่มขืนใจ หากมีพยานหลักฐานเพิ่มก็จะเรียกมาสอบ ซึ่งคดีนี้จะต้องมีการพิสูจน์ในชั้นศาลเพราะต่างมีหลักฐาน ตำรวจไม่คัดค้านที่ผู้ต้องหาจะขอประกันตัวออกไปสู้คดี.