เมียกับลูกสาว โร่แจ้งตำรวจ สืบสวนหาตัวคนชกหน้าพ่อ ขณะเข้ารักษาตัวใน รพ.ของรัฐ ด้าน ผอ.แจง พยาบาลชายไม่ได้ชกหน้าคนป่วย เพียงแค่เอื้อมมือดึงมือผู้ป่วยที่พยายามดึงผ้าพันแผล...

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 5 ธันวาคม 2561 ที่ สภ.เมืองขอนแก่น นางขวัญใจ เกิดเดช อายุ 76 ปี ชาวบ้าน ม.3 ต.ในเมือง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นางสาวศรินทิพย์ อิ่มใจ อายุ 45 ปี บุตรบุญธรรม เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ไชยยุทธ จันทร์แปลง สว.สอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการสืบสวนสอบสวนเอาผิดตามกฎหมาย กับบุคคลที่เป็นชาย ซึ่งได้ชกใบหน้าบิดา ขณะเข้ารับการรักษาภายในห้องฉุกเฉิน รพ.รัฐแห่งหนึ่งประจำจังหวัดขอนแก่น

นางสาวศรินทิพย์ กล่าวว่า ตัวเองเป็นบุตรบุญธรรมของ นายพินันท์ ประเคนทอง อายุ 65 ปี และ นางขวัญใจ เกิดเดช อายุ 76 ปี ชาว อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยช่วงบ่ายวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 มารดาโทรศัพท์แจ้งว่า บิดาหน้ามืดอยู่ในบ้าน จึงได้ประสานโรงพยาบาล นำรถกู้ชีพไปรับบิดา ซึ่งแพทย์และเจ้าหน้าที่ รพ.ดังกล่าว ทำการตรวจในเบื้องต้น แต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นโรคอะไร เพราะเครื่องมือไม่ครบสมบูรณ์ จึงทำการส่งตัวบิดารักษาต่อที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่น ซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่ รพ. และช่วงการนำส่ง ยังสามารถพูดคุยกับบิดามารดาได้ตามปกติ บิดาพูดจารู้เรื่องทุกอย่าง

บิดาถูกส่งตัวถึง รพ.ศูนย์ขอนแก่น ในเย็นวันเดียวกัน และถูกนำตัวเข้าในห้องฉุกเฉิน ส่วนมารดาเฝ้าฟังอาการบิดาอยู่นอกห้อง กระทั่งกลางดึกคืนวันเดียวกัน มีเสียงโครมครามคล้ายสิ่งของตกหล่น แต่มารดาไม่กล้าสอบถามใคร เพราะเกรงว่าจะถูกต่อว่า หลังเสียงโครมครามไม่นาน ก็เห็นพนักงานเข็นร่างบิดาออกจากห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่บอกว่าจะเอาบิดาไปเอกซเรย์สมอง ซึ่งขณะนั้นมารดาเห็นผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะบิดา แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากผ่านการเอกซเรย์ มารดาก็เห็นบิดาถูกมัดแขนสองข้างกับเตียงคนไข้ และถูกเข็นกลับไปในห้องฉุกเฉิน จนกระทั่งวันที่ 28 พฤศจิกายน บิดาถูกส่งตัวเข้าพักรักษาที่อาคาร 5 ของ รพ. ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่เวรเปลเข็นร่างพ่อไปที่อาคารนั้น มารดาเห็นบาดแผลถูกเย็บที่คิ้วข้างซ้ายของบิดา แต่ไม่กล้าถามกับแพทย์ 

...

บุตรของผู้ป่วยที่เสียชีวิต กล่าวต่อว่า ช่วงบ่ายวันที่ 28 พ.ย. ก็เดินทางถึง รพ.ศูนย์ขอนแก่น ช่วงนั้นมารดาบอกว่า บิดาเกิดอาการช็อก แพทย์กำลังช่วยปั๊มหัวใจอยู่ในห้อง และในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีพยาบาลออกมาแจ้งว่า ปั๊มหัวใจมาแล้ว 20 นาที ถ้าปั๊มต่ออีก 10 นาที บิดาไม่ฟื้น แพทย์จำเป็นต้องปล่อย ตนและมารดาก็เข้าใจ เพราะเชื่อว่าแพทย์ทำหน้าที่ตัวเองเต็มที่แล้ว และบิดาก็เสียชีวิตในช่วงเวลาบ่ายสองโมงกว่าๆ ของวันที่ 28 พ.ย. จากนั้นก็ทำเรื่องเอกสารการรับศพบิดาออกจาก รพ. ซึ่งช่วงรับศพเห็นร่างบิดา ก็เอะใจว่าทำไมที่คิ้วซ้ายมีรอยเย็บ แต่ยังไม่ได้สอบถามกับทางโรงพยาบาล

"ขณะรับศพพ่อเดินทางกลับบ้าน ได้ถามแม่ถึงบาดแผลที่คิ้วของพ่อ แม่จึงเล่าให้ฟังถึงเสียงโครมครามในห้องฉุกเฉิน เมื่อคืนวันที่ 27 พ.ย. และมีการเข็นร่างพ่อออกจากห้องฉุกเฉินไปเอกซเรย์ และกลับมาเย็บแผลที่ห้องฉุกเฉิน และเมื่อส่งพ่อไปนอนพักรักษาที่อาคาร 5 พ่อก็บอกกับแม่ว่าอยากกลับบ้าน ไม่อยากรักษา เพราะถูกทำร้ายร่างกายในห้องฉุกเฉิน ได้ยินที่แม่เล่าให้ฟังจึงรีบโทรศัพท์ไปที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่น สอบถามถึงบาดแผลที่คิ้วของพ่อ รวมถึงคำบอกเล่าที่พ่อบอกกับแม่ก่อนตายว่าถูกทำร้าย เจ้าหน้าที่ที่รับสายพูดไม่ตรงกัน มีทั้งบอกว่าพ่อเดินหกล้ม คิ้วกระแทกของแข็งแตก บางคนบอกพ่อคิ้วแตกก่อนจะมารักษาตัวใน รพ. จึงรีบโทรศัพท์ไปที่ รพ.บ้านไผ่ ยืนยันว่าพ่อปกติ ไม่มีบาดแผลแตกที่ใด" นางสาวศรินทิพย์ กล่าว

จากนั้นจึงได้โทรศัพท์กลับมาที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่น จนมีเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าชี้แจงว่า พ่อเกิดพลัดตกจากเตียงผู้ป่วย เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 27 พ.ย. ทำให้คิ้วข้างซ้ายแตก แต่แพทย์ได้เย็บแผลให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนการทำร้ายร่างกายพ่อนั้น ทาง รพ.จะตรวจสอบให้ และยินดีให้ความกระจ่างกับญาติ จนเป็นที่สรุปว่าญาติเข้ามาพบผู้บริหาร เพื่อขอดูกล้องวงจรปิดของ รพ. บริเวณห้องฉุกเฉิน และในจุดที่เกี่ยวข้อง จากการดูกล้องวงจรปิด ทำให้เห็นช่วงที่ร่างบิดาถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ในสภาพที่มือสองข้างถูกมัดติดกับขอบเตียง และมีภาพของผู้ชายยืนอยู่ข้างเตียง ลักษณะอารมณ์ฉุนเฉียว ชี้หน้าและต่อว่าพ่อที่นั่งอยู่บนเตียง พร้อมกับเหวี่ยงกำปั้นเข้าที่ใบหน้าข้างซ้าย จากนั้นก็ผลักอกพ่อให้นอนลง ภาพที่เห็นทำให้รับไม่ได้กับพฤติกรรมของผู้ชายรายนั้น ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร จึงได้พูดคุยกับทางโรงพยาบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มาร่วมพูดคุยได้เจรจาขอร้องกับทางญาติว่า อย่าเอาเรื่อง อย่าแจ้งความเด็ดขาด และห้ามบันทึกภาพในคลิปด้วย เพราะทางโรงพยาบาลจะจัดการกับคนก่อเหตุเอง 

...

นางสาวศรินทิพย์ เปิดเผยอีกว่า หลังจากบำเพ็ญกุศลศพพ่อเรียบร้อย ก็มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ รพ.ศูนย์ฯ เป็นระดับหัวหน้า โทรศัพท์ไปบอกว่า เรื่องการทำร้ายร่างกายนั้น คนก่อเหตุยอมรับว่าได้ทำร้ายร่างกายพ่อจริง และเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฝากขอโทษญาติๆ ด้วย และในช่วงกลางคืนของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่คนเดิมก็โทรศัพท์มาหาอีก แต่ครั้งนี้บอกว่า อย่าเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความ เพราะไม่มีใครทำร้ายคุณพ่อ คุณพ่อตกเตียงเอง ทางผู้บริหารขอโทษกับสิ่งที่เกิดความเข้าใจผิดขึ้น และอยากพบกับญาติๆ ในวันศุกร์ที่ 7 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ที่รพ.ศูนย์ขอนแก่น จึงได้มีการพูดคุยกันในกลุ่มญาติพี่น้อง เกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงแค่ลมปาก ส่วนคนที่ลงมือทำร้ายพ่อก็ยังลอยนวล จึงเข้าแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนสอบสวน เอาตัวผู้ชายที่ทำร้ายร่างกายพ่อมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะเข้าพบผู้บริหาร รพ.ศูนย์ขอนแก่น ตามคำเชิญ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นอยากให้ผู้บริการแก้ไข เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่ดีต่อผู้ป่วยและประชาชนที่เข้ามารับการรักษาใน รพ.ของรัฐ

ต่อมาเวลา 17.00 น.วันเดียวกัน นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทาง รพ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ พอทราบเรื่องก็มีการประสานกับญาติ และพูดคุยกันมาโดยตลอด และมีการดูกล้องวงจรปิดด้วยกันมาแล้ว แต่ดูผ่านจอขนาดเล็ก ซึ่งในขณะนั้นดูเหมือนว่า เจ้าหน้าที่ทำร้ายคนป่วยจริง แต่เพื่อความเป็นธรรมกับทุกๆ คน ทั้งญาติคนตายและเจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหาจึงได้ดูคลิปดังกล่าวจากจอขนาดใหญ่ ปรากฏภาพที่ชัดเจนกว่าภาพที่เห็นในจอขนาดเล็กว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำร้ายคนป่วย

“เพื่อความเป็นธรรมและชัดเจน คลายข้อข้องใจของญาติ จึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดด้วยจอขนาดใหญ่ พบว่าเจ้าหน้าที่พยาบาลชายรายดังกล่าว ไม่ได้ทำร้าย หรือชกใบหน้าของคนป่วย แต่ได้ยื่นมือไปดึงมือคนป่วยออก เพราะคนป่วยจะดึงผ้าปิดแผลออกจากคิ้วข้างซ้าย” นพ.ชาญชัย กล่าว

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวต่อว่า กรณีที่มีการเข้าใจผิดเช่นนี้ เกิดขึ้นได้เสมอ แต่ในฐานะผู้บริหาร หากเจ้าหน้าที่ทำผิดจริงก็จะต้องดำเนินการเอาผิดตามระเบียบ และเพื่อความเป็นธรรมและกระจ่างในความสงสัยที่ค้างคาในใจของญาติผู้ป่วย จึงได้ประสานให้ญาติมาดูกล้องวงจรปิดจากจอขนาดใหญ่พร้อมด้วยคนกลาง โดยอาจจะเป็นทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชน ในวันที่ญาติๆ ผู้ป่วยพร้อม โดยที่โรงพยาบาลยินดีและมีความพร้อมในการที่จะให้ดูคลิปจากกล้องวงจรปิดทุกเมื่อ

...

นพ.ชาญชัย กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่ญาติเข้าแจ้งความนั้นสามารถทำได้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มาดูคลิป เมื่อดูคลิปเชื่อว่าทุกฝ่ายจะพบความชัดเจนของเรื่องดังกล่าวทั้งหมด เพราะผู้ป่วยรายนี้ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง จะมีอาการกดทับเส้นประสาท ทำให้หน้ามืดบ่อยจนพลัดตกเตียง ซึ่งในกรณีคนป่วยตกเตียงก็ถือเป็นความบกพร่องที่เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ทั่วถึง ในจุดนี้ รพ.ต้องขอโทษญาติผู้ป่วยด้วย.