เจ้าหนี้ ยัน ไม่มีส่วนกับการเสียชีวิตของนักธุรกิจสาวปล่อยเงินกู้ วัย 33 ปี ที่อำนาจเจริญ เชื่อ คิดไม่ตกเรื่องหนี้สินคาดว่าอาจมีมากกว่า 20 ล้าน จึงเป็นมูลเหตุฆ่าตัวตายอย่างสลด

วันที่ 5 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นักธุรกิจสาววัย 33 ปี ที่เสียชีวิตปริศนาคารถเก๋งของตนเองซึ่งถูกจอดทิ้งข้างคลองชลประทาน ในพื้นที่ อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา หลังสอบสวนพยานและรวบรวมหลักฐาน ตร.สภ.ลืออำนาจ สรุปเป็นการฆ่าตัวตาย เนื่องจากผลชันสูตรพลิกศพและตรวจดีเอ็นเอ ตรวจลายนิ้วมือแฝง ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าถูกกระทำให้ตายโดยบุคคลอื่น

ต่อมา ญาติผู้ตายได้เดินทางเข้าร้อง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ให้โอนคดีมาที่กองปราบ กระทั่ง รอง ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งให้กองปราบดำเนินการสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างละเอียดอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ครอบครัวผู้ตายได้ให้ข่าวถึงสาเหตุที่ไปร้องเรียน เนื่องจากเชื่อมั่นว่าผู้ตายถูกฆาตกรรมอย่างแน่นอน ซึ่งชนวนเหตุอาจมาจากการทำธุรกิจเงินกู้ หลังมีกระแสข่าวพาดพิงเหล่าบรรดาเจ้าหนี้เงินกู้ และคนที่ถูกครอบครัวผู้ตายพาดพิงต่างออกมายืนยันกับทีมข่าวไทยรัฐว่า ไม่มีเจ้าหนี้รายไหนคิดจะฆ่าผู้ตายแน่นอน เพราะถ้าลูกหนี้ตาย หนี้ก็สูญ จะทำทำไม อีกทั้งที่ผ่านมาผู้ตายไม่เคยผิดนัดหรือเบี้ยวเงิน เจ้าหนี้เชื่อผู้ตายคิดไม่ตกเรื่องหนี้สิน จึงตัดสินใจก่อเหตุฆ่าตัวตายขึ้น

...

หลังจากที่ ญาติของนางสาวดวงจันทร์ ทวีพันธ์ นักธุรกิจสาว วัย 33 ปี สงสัยว่า สาเหตุการเสียชีวิตของนางสาวดวงจันทร์ อาจจะมาจากการจ้างวานของนักธุรกิจเงินกู้ที่ไปหยิบยืมมาจากเจ้าหนี้ หรืออาจจะมาจากคนที่ทำธุรกิจเงินกู้ด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อของ นางสำรวย สมพงษ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายกเทศบาลตำบลหัวตะพาน อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของผู้ตาย

โดยทีมข่าวไทยรัฐ ได้เดินทางไปพบกับนางสำรวย เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงถึงปัญหาการกู้ยืมเงินกัน ซึ่งนางสำรวย เปิดเผยว่า ผู้ตายมาหยิบยืมเงินจากตัวเองไปทั้งหมด 2,200,000 บาท ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ตายส่งดอกเบี้ยตรงตามนัดทุกครั้งไม่เคยมีปัญหา จนล่าสุดมีการนัดส่งเงินกัน จำนวน 700,000 บาท ในวันที่ 4 เมษายน ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุที่ผู้ตายเสียชีวิต โดยผู้ตายก็รับปากว่า จะนำเงินมาจ่ายให้ในช่วงบ่าย แต่ก็เงียบไปจนช่วงเย็นตัวเองทวงถามไปแต่ก็ไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น และยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเจ้าหนี้คนไหนมาทำร้ายเค้าจนเสียชีวิต

นางสำรวย ยังเปิดเผยอีกว่า หลังผู้ตายเสียชีวิต ตัวเองคิดอยู่แล้วว่าไม่มีทางได้เงินคืนมาแน่นอน จึงเรียกสามีซึ่งเป็นผู้ที่เซ็นรับรองขณะผู้ตายได้มากู้ยืมเงินกับตนเอง ให้มาเซ็นหนังสือยอมรับสภาพหนี้ ซึ่งยอดทั้งหมด 2,200,000 บาท ตัวเองขอเอาคืนเพียง 1,000,000 บาทเท่านั้น และขอให้จ่ายครบในครั้งเดียว ซึ่งตัวของสามีก็ขอรับผิดชอบเงินเพียงยอดนี้เท่านั้น มากกว่านี้ตัวของสามีไม่ขอรับรู้ รับทราบ และก็ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการชำระเงินคืน คือถ้ามีเมื่อไหร่มีค่อยมาใช้คืน พร้อมยืนยันว่า คงไม่มีการฟ้องร้องอย่างแน่นอน

และอีกหนึ่งคนที่ถูกสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องมากที่สุดคือ นายยุทธยา สียางนอก หรือ ยุทธถังแตก ซึ่งถูกพาดพิงจากญาติว่า นี่อาจจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น วันนี้เค้าออกมาเปิดใจกับทีมข่าวไทยรัฐ โดยยอมรับว่า ที่ผ่านมาตลอด 4-5 ปี ได้ร่วมทำธุรกิจเงินกู้กับผู้ตายจริง โดยตนเองมีหน้าที่คอยหาลูกค้าและหานายทุนมาให้กับผู้ตายโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ตายไม่เคยมีปัญหาเรื่องการส่งดอกเบี้ย หรือคืนเงินให้กับเจ้าหนี้ โดยผู้ตายก็มาหยิบยืมเงินกับตัวเอง ประมาณ 5,580,000 บาท ตนเองจึงไปยืมเงินกับนายทุนมาให้อีกทอดหนึ่ง และได้มีการจ่ายดอกเบี้ยกันมาตลอดไม่เคยมีปัญหา แต่ครั้งนี้มีปัญหาเนื่องจากวันที่ผู้ตายเสียชีวิต ได้นัดส่งดอกเบี้ยประมาณ 1,200,000 บาท ให้กับตนในช่วงเย็น ตนเองก็พยายามโทรศัพท์ไปสอบถามแต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงไปหาผู้ตายที่บ้านพัก แต่ญาติก็บอกว่าไม่อยู่ หลังจากนั้นจึงพยายามตามหา จนสุดท้ายก็ทราบจากข่าวว่าเสียชีวิตแล้ว ซึ่งในวันเกิดเหตุ ตัวเองก็ยังได้ช่วยเหลือญาติในการตามหา ซึ่งหากครอบครัวของผู้เสียชีวิตจะมาพาดพิงว่าเป็นตัวเองนั้น ขอยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวเองก็อยากได้เงินต้นไปคืนนายทุนที่เอามาให้กู้ยืมเหมือนกัน ไม่มีทางทำแบบนั้นอย่างแน่นอน

...

นายยุทธถังแตก ยังเปิดเผยกับทีมข่าวไทยรัฐ อีกว่า หลังจากผู้ตายเสียชีวิต ครอบครัวได้มีการนำเงินมาจ่ายคืนให้จำนวน 50,000 บาท ตัวเองก็นำไปลงบันทึกประจำวันไว้ จากนั้นก็เริ่มมีปัญหากันกับทางครอบครัวของผู้เสียชีวิต และตัวเองเริ่มดำเนินการฟ้องร้องเพื่อให้สามีของผู้ตายและมรดกของผู้ตายรับสภาพหนี้ที่เกิดขึ้นเกือบ 6 ล้านบาท ซึ่งศาลได้มีการนัดไกล่เกลี่ยกันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยครอบครัวผู้ตายตกลงว่าจะจ่ายเงินคืน แต่เมื่อถึงวันนัด ครอบครัวผู้ตายกลับเบี้ยวไม่ยอมจ่าย และพูดในทำนองว่า ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เคยรู้เห็นหรือรับรู้เกี่ยวกับเรื่องเงินที่ผู้ตายไปกู้หรือหยิบยืมมา ซึ่งตัวเองคิดว่า หนึ่งในสาเหตุหลักที่ครอบครัวผู้ตายพยายามไปเรียกร้องหน่วยงานต่างๆ เพื่อต้องการที่จะไม่จ่ายเงินเจ้าหนี้ ที่ขณะนี้เริ่มมีการฟ้องร้องกันอยู่ด้วย

จากการลงพื้นที่ของทีมข่าว ยังได้รับข้อมูลจากชาวบ้านอีกหลายคนว่า ผู้ตายเคยมาหยิบยืมเงินหลายต่อหลายครั้ง โดยชาวบ้านก็จะมากู้เงิน ธ.ก.ส.เพื่อให้ผู้ตายหยิบยืม เนื่องจากผู้ตายให้ดอกเบี้ยค่อนข้างดี ก่อนที่ผู้ตายจะนำไปปล่อยกู้ต่อในอัตราร้อยละ 30 ซึ่งที่ผ่านมาคนในพื้นที่รับรู้ดีว่าผู้ตายทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินกู้ และตลอดเวลาการทำธุรกิจ จะมีแม่หรือสามีของคนตายรับรู้มาโดยตลอด และบางครั้งจะมาด้วยกันเวลาเก็บดอกเบี้ยหรือทำสัญญา จึงเป็นไปไม่ได้ที่ครอบครัวจะไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นหนี้ใครบ้าง

ซึ่งนอกเหนือจากเจ้าหนี้เงินกู้รายใหญ่ที่ตำรวจเคยไปสอบปากคำทั้ง 17 คน มูลหนี้กว่า 9 ล้านบาท และยังมีความเป็นไปได้ว่า ยังมีเจ้าหนี้เงินกู้ของผู้ตายที่เป็นชาวบ้านรายเล็กรายน้อยอีกหลายสิบคน ซึ่งคิดเป็นมูลหนี้นับสิบล้านบาท และหากรวมกับเจ้าหนี้รายใหญ่แล้ว ผู้ตายอาจติดหนี้มากกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งคนในพื้นที่ที่รู้เรื่องการทำธุรกิจของผู้ตายเชื่อว่า ปัญหาเรื่องหนี้สินอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ตายคิดสั้น จนก่อเหตุฆ่าตัวตายขึ้นในครั้งนี้

...