แม่ "น้องฟอส" เปิดใจ "ไม่เคยคิดตัดขาดครอบครัวน้องสปาย" ระบุเป็นคำพูดที่เข้าใจผิดกันไปเอง ย้ำชัดเด็กทั้งคู่สนิทกันมานาน เติบโตมาพร้อมกัน 


จากกรณีคนร้ายก่อเหตุอุกฉกรรจ์ใช้อาวุธปืนยิง นายอนันตชัย หรือฟอส จริตรัมย์ อายุ 20 ปี และ น.ส.ปวีณา หรือสปาย นาเมืองรักษ์ อายุ 20 ปี ชาวอำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ จนเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2561 ที่ลานจอดรถฝั่งตรงข้ามพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยตำรวจเร่งล่าตัวคนร้ายได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเสี่ยอ้วน ได้ส่งตัวฝากขังดำเนินคดีไปแล้ว กระทั่งแต่เกิดเรื่องดราม่า เมื่อฆาตกร “เสี่ยอ้วน” ออกมาแฉว่า ครอบครัวน้องสปายปอกลอกเป็นเงินกว่า 7 ล้านบาท 

นางจอมศรี ชมพูพื้น อายุ 43 ปี แม่ของ นายอนันตชัย หรือน้องฟอส จริตรัมย์ เหยื่อกระสุนปืนของ “เสี่ยอ้วน " ซึ่งได้เดินทางกลับมาถึง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 23 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา พร้อมเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า  กรณีที่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวใน กทม. ประโยคคำพูดที่ว่า" อยู่ใครอยู่มัน"  ในความรู้สึกขณะที่พูดนั้น หมายถึง "อยู่ไผ่ อยู่มัน" ที่คนอีสานจะหมายถึงต่างคนต่างอยู่แยกย้ายกันทำมาหากิน ไม่ใช่ตัดขาดกัน

...

" คำพูดดังกล่าวไม่ได้หมายถึงว่า ระหว่างสองครอบครัวจะตัดขาดกัน แต่หมายถึงว่า หลังเกิดเหตุแล้ว ต่อไปก็คงต่างคนต่างอยู่ เพราะต้องแยกย้ายกันไปทำมาหากิน  เด็กทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน และระหว่างทั้งสองครอบครัวก็มีความผูกพันกันเป็นญาติสนิท มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ไม่มีความคิดว่าจะตัดขาดกันเลย แต่จะเป็นการให้กำลังใจกันมากกว่า เพราะเราเองก็เสียลูกชาย "

นางจอมศรี กล่าวต่อว่า ในส่วนที่มีประเด็นเรื่องเงิน 7 ล้านบาท ซึ่งเสี่ยอ้วนอ้างว่าได้นำไปให้น้องสปาย เรื่องนี้ไม่ขอพูดถึงเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว อีกทั้งในมุมมอง น้องสปาย ก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่ “เสี่ยอ้วน” ซึ่งเป็นฆาตกรก็คงต้องหาวิธีเอาตัวรอดจะพูดยังไงก็ได้ ต่อไปตนเองไม่ขอพูดถึงอีกเพราะหลังจากที่น้องฟอส ลูกชายได้ตายไปแล้ว ชีวิตก็คงจะต้องกลับมาทำงานอีกครั้ง ดิ้นรนไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ

" กรณีนี้ขอให้เป็นตัวอย่างของลูกหลาน คนอีสานหรือทั่วไปที่ต้องดิ้นรนทำงาน ก็ขอให้ผู้มีอันจะกินเป็นเจ้าของกิจการ ได้สงสารคนจน ลูกชาวนา ที่เข้าไปดิ้นรนหาเงินกลับมาจุนเจือครอบครัว ให้มีความเมตตาปราณี และก็ขอให้ลูกหลานที่ดิ้นรนได้ดูกรณีนี้เป็นตัวอย่างว่า หากผิดพลาดไปอยู่กับเจ้านายใจร้าย ก็ต้องให้ระวังเพราะอาจจะมาจบชีวิตแบบนี้   สุดท้ายก็ขอกราบขอบคุณสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวจนสามารถจับกุมคนร้ายมาได้ทั้งหมด และขอกราบขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจับกุมตัวคนร้ายมาได้ ขอกราบขอบพระคุณด้วยใจจริง"