พี่สาวหนุ่มอุดรฯ เดินเท้าจากตรังไปเชียงใหม่ ตั้งใจเอาอัฐิเมียไปโปรยที่ดอยอินทนนท์ไม่ได้บ้า บอกถ้าทำตามสัญญาแล้วให้กลับบ้านเรานะ

กรณี นายศักดิ์ชัย สุพันธมาตย์ อายุ 39 ปี ชาวอุดรธานี เดินเท้าพร้อมรถเข็นจากตรัง พร้อมกับสุนัข 2 ตัว และแมว 1 ตัว เมื่อปี 2560 มุ่งหน้านำอัฐิภรรยาไปโปรยบนดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนเสียชีวิต แบบค่ำไหนนอนนั่น ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ (สุดซึ้ง! หนุ่มเดินเท้า นำอัฐิแฟนสาวจากตรัง ไปอินทนนท์ตามสัญญา)

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 40 ม.5 บ้านหนองไผ่ ต.หนองนาคำ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งระบุว่าเป็นบ้านเลขที่ตามบัตรประชาชนนายศักดิ์ชัย พบกับนางอรไพ สุพันธมาตย์ อายุ 56 ปี พี่สาวนายศักดิ์ชัย เปิดเผยว่า ครอบครัวพี่น้องทั้งหมด 8 คน นายศักดิ์ชัยเป็นคนที่ 7 โดยครอบครัวของพวกตนมีอาชีพทำนา 60 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี และแม่เสียชีวิตแล้ว ส่วนพ่ออายุ 87 ปี ยังมีชีวิตอยู่ 


...

ก่อนหน้านี้ นายศักดิ์ชัย ได้เดินทางไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ และได้พบรักกับภรรยา ชาวจังหวัดขอนแก่น แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ซึ่งนายศักดิ์ชัยเป็นคนรักภรรยามาก และเคยพาภรรยากลับมาหาญาติพี่น้องที่อุดรธานีด้วย แต่ทั้งสองทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน

กระทั่งปี 2559 ทราบว่าภรรยานายศักดิ์ชัยป่วยเสียชีวิต ทำให้นายศักดิ์ชัยเสียใจมากแทบจะเสียสติ จากนั้นนายศักดิ์ชัยมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ ต่อมาไม่นานนายศักดิ์ชัย ได้เก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่รถเข็น พร้อมกับสุนัข 2 ตัว ขอไปอยู่ที่อื่น เพราะอยู่ด้วยไม่ได้ โดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น ญาติจึงปล่อยให้นายศักดิ์ชัยไป

ส่วนญาติที่อยู่อุดรธานี ไม่สามารถติดต่อนายศักดิ์ชัยได้เลย นอกจากนายศักดิ์ชัยจะโทรมาแจ้งว่าขณะนี้อาศัยอยู่ที่ไหน และบอกว่าจะกลับมาปี 2563 จะกลับมาอยู่บ้าน กระทั่งมาทราบข่าวว่านายศักดิ์ชัยเดินไปที่เชียงใหม่


อย่างไรก็ตาม ตนเคยได้คุยโทรศัพท์กับน้องชาย บอกให้กลับมาอยู่บ้าน จึงโกหกไปว่าพ่อและพี่น้องร่วมใจกันขายที่นา 60 ไร่ ได้เงิน 60 ล้าน พี่น้องได้แบ่งเงินกันแล้ว ส่วนเงินของศักดิ์ชัยอยู่กับพี่ ให้กลับบ้านมาเอาเงินส่วนแบ่ง ไม่ต้องเร่ร่อนไปไหนอีก แต่น้องชายไม่ยอมกลับ แถมยังร้องไห้และพูดต่อว่า พวกพี่น้องผิดสัญญาว่าจะไม่ขายที่นา 


"น้องชายไม่ได้เสียสติ ไม่ใช่คนบ้า เป็นคนสติดี พูดจามีหลักการ น้องอาจเสียใจ ทำใจยังไม่ได้ที่ภรรยาเสียชีวิต จึงอยากอยู่คนเดียว และเดินทางไปเรื่อยๆ แต่ญาติพี่น้องที่อุดรธานีรู้สึกเป็นห่วง และอยากฝากบอกไปถึงน้องชายว่า เมื่อโปรยอัฐิภรรยาบนดอยอินทนนท์ตามต้องการแล้ว ให้เดินทางกลับมาบ้าน มาช่วยพี่ดูแลพ่อที่แก่ชรามากแล้ว กลับมาอยู่ที่บ้านของเรา ไม่ต้องเร่ร่อนไปไหนอีก กลับมาอยู่กับพี่น้อง มีอะไรก็แบ่งกันกิน".