เทรนด์ความนิยมย่อมเสื่อมสลาย เมื่อสิ่งใหม่ไฟแรงเพียบพร้อมด้วยคุณค่าเข้ามาแทนที่....!
วันนี้ใครเลยจะคิดว่า หวาย พืชพื้นบ้านธรรมดาของภาคอีสาน แต่เนื่องจากรสขมในเนื้อหวาย กลับมากด้วยคุณค่าอาหาร ปัจจุบันจึงเป็นพืชทำเงินให้เกษตรกรชาว อ.ภูพาน จ.สกลนคร ปีละนับร้อยล้านบาท
จากข้อมูลของ นายณัฎฐกิตต์ ของทิพย์ เกษตร จ.สกลนคร ทราบว่า อ.ภูพาน ปลูกหวายมากกว่า 600 ไร่ แซงหน้าตำรับ อ.วาริชภูมิ ที่มีเพียง 200 ไร่ และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 1 พันไร่ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของประเทศก็ว่าได้
หลังจากคนนิยมนำมารับประทานแทนหน่อไม้ ซึ่งหายากขึ้นทุกวัน เกษตรกรมองเห็นอนาคตที่สดใส จึงพากันนำหวายมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยนำเข้าสู่กระบวนการอบแห้งส่งออกไปต่างประเทศ
นายณัฎฐกิตต์ เผยว่า ด้วยเหตุนี้ สนง.เกษตรจังหวัด จึงสนับสนุนให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกหวายให้เพียงพอต่อความต้องการ และเติมเต็มความรู้วิธีทำเกษตรแบบผสมผสานควบคู่กับเกษตรอินทรีย์
ที่สำคัญตลอดปีลูกค้าให้การตอบรับ สั่งซื้อในราคาสูงขีดละ 250 บาท เท่ากับกิโลกรัมละ 2,500 บาท
นายทองเชื่อม พูนเทกอง ประธานกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่บ้านโนนสำราญ ต.สร้างค้อ กล่าวว่า หวายของอำเภอแห่งนี้ สร้างรายได้ให้สมาชิกกลุ่มกว่า 100 คน นำไปเลี้ยงชีพและครอบครัว ไม่ต้องไปหางานทำไกลๆ อีกต่อไป
ที่สำคัญในพื้นที่ 17 ไร่ ครอบครัวอยู่กับการปลูกหวายแบบเกษตรอินทรีย์ผสมผสานกับปลูกพืชแซมในแปลงปลูก ทั้งต้นหอม แมงลัก ผักชี และน้อยหน่าปลอดสารพิษ สร้างรายได้ให้มากกว่า 2 แสนบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังเพาะกล้าหวายจากเมล็ด ไว้รอจำหน่ายกว่า 50,000 กล้า ราคาเฉลี่ยต้นละ 5 บาท ส่วนหวายธรรมดาใช้วิธีขายแบบครบวงจร ตั้งแต่หน่อดิบ ราคา 3.50 บาท แบบแกะเปลือก แบบต้ม และแบบอบแห้งส่งนอก
...
ส่วนในประเทศใครเคยลิ้มรสซุบหน่อหวาย ลาบ หรือลวกจิ้มกับน้ำพริก ต่างยอมรับซุบหน่อไม้กำลังเจอคู่แข่ง
ยิ่งถ้าส่งออกแล้วได้รับความนิยมย่อมขึ้นชั้นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของบ้านเราอย่างแน่นอน....!
วัฒนะ แก้วก่า / รายงาน