ขอนแก่น เตรียมประกาศยกย่อง‘น้องแบม’นศ.ฝึกงานที่กล้าออกมาแฉกลโกงศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งฯ เป็นคนต้นแบบ ขณะรักษาการผอ.เผยจนท.เครียด โดนสอบทั้งจากป.ป.ท.-สตง.ที่บึงกาฬ ผอ.ยืนยันทำถูกต้อง แต่อาจพลาดที่มอบเงินผ่านผู้นำกลุ่ม...
วันที่ 19 ก.พ.61 นายอิทธิพัทธ โรจน์จตุรานนท์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น เปิดเผยกับสื่อมวลชนกรณี ที่ป.ป.ท.เขต 4 ขอเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ ของศูนย์ฯ ประจำปีงบประมาณ 2560 โดยเฉพาะในกรณีที่ น.ส.ปนิดา ยศปัญญา นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เข้าร้องเรียนต่อเลขาธิการ คสช. จากการที่ถูกผู้อำนวยการศูนย์ฯ และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโครงการเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ สั่งให้ปลอมแปลงเอกสารทางราชการในการเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งการปลอมลายมือชื่อผู้ที่ได้รับเงินไปรวมกว่า 2,000 ราย คิดเป็นงบประมาณกว่า 6,900,000 บาท
นายอิทธิพัทธ กล่าวว่า ได้จัดส่งเอกสารการเบิกจ่ายงบประมาณ 2560 ให้กับ ป.ป.ท.เขต 4 แล้ว เหลือเพียงเอกสารการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2559 ที่ต้องหาให้เพิ่มเติม เนื่องจากทางป.ป.ท.เขต 4 ต้องการตรวจสอบเอกสารหลักฐานย้อนหลัง ซึ่งในจุดนี้ไม่มีปัญหา พร้อมให้ความร่วมมือในทุกรณี ซึ่งขณะนี้การเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือชาวบ้านนั้น ยังไม่ได้จ่าย เพราะยังอยู่ในช่วงต้นงบประมาณ จึงยังไม่มีการร้องขอเข้ามา และถ้าหากมีการร้องขอเข้ามาทางศูนย์ฯ ก็ต้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน ละเอียดรอบคอบ ตามระเบียบที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดมา จึงจะจ่ายได้
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ป.ป.ท.ที่เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่ถูกร้องเรียน แต่ยังมี สตง.เข้ามาตรวจสอบด้วย ซึ่งในฐานะรักษาการผอ.ศูนย์ฯ ยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่กับทุกหน่วยงาน เพราะต้องการให้ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำงานอยู่ในขณะนี้ ต้องการกำลังใจเป็นอย่างมาก”
...
ขณะเดียวกัน ที่โรงแรมราชาวดีรีสอร์ทแอนด์โฮเต็ล จ.ขอนแก่น นายเข็มชาติ สมใจวงษ์ ประธานหอการค้า จ.ขอนแก่น ในฐานะประธานเครือข่ายอนาคตไทย จ.ขอนแก่น ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การที่ น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือแบม นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เข้าร้องเรียนต่อเลขาธิการ คสช.และ ป.ป.ท. หลังถูกผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ และผู้ป่วยโรคเอดส์ สั่งให้นักศึกษาฝึกงานและตนเองทำการปลอมแปลงเอกสารและปลอมลายมือชื่อ ตลอดระยะเวลาของการฝึกงานรวมกว่า 2,000 ราย คิดเป็นยอดเงินรวมกว่า 6,900,000 บาท
ขณะนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมีการสืบสวนสอบสวนขยายผลไปเป็นวงกว้างและพบการกระทำผิดของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในหลายพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ จากพฤติกรรมการทุจริตดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ และอาจทำมานาน เพราะหากไม่ย่ามใจระดับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งคนนอกไม่กล้าที่จะสั่งนักศึกษาฝึกงาน ที่ไปฝึกงานด้านการพัฒนาชุมชนเพียง 4 เดือนให้ร่วมทำผิดแบบนี้
“การกระทำของน้องแบมนั้นถือเป็นต้นแบบขอนแก่นโมเดลที่ทำดีและทำถูกต้อง กล้าที่จะออกมาเปิดเผยข้อมูลความผิด เพราะจากการเคลื่อนไหวของนักศึกษารายนี้และครอบครัวนั้นสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเห็นการกระทำผิดของหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้ยากไร้แต่กลับมาทุจริตจนนำไปสู่การสอบสวน อีกทั้งเรื่องนี้ ป.ป.ท.ได้พบมูลความผิดชัดเจน จนสะเทือนไปทั้งประเทศไทยที่ตรวจพบการทุจริตเรื่องเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ของกระทรวงการพัฒนาสังคมของมนุษย์ หรือ พม. ซึ่งในนามของเครือข่ายอนาคตไทย จ.ขอนแก่น ซึ่งน้องนักศึกษาและครอบครัวเป็นชาวขอนแก่นที่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ และหวังให้รัฐบาลและ คสช.ทำการตรวจสอบในประเด็นดังกล่าว ได้นำเรื่องที่เกิดขึ้นเข้าหารือกันขององค์กรภาคเศรษฐกิจและธุรกิจในพื้นที่และเครือข่ายอนาคตไทย ในการยกย่องให้น้องแบมเป็นต้นแบบของการทำความดี ทำความถูกต้อง และการกล้าที่จะพูดถึงการทุจริตคอร์รัปชันในหน่วยงานระดับจังหวัดจนมีการตรวจสอบไปทั่วทั้งประเทศ”
ทั้งนี้ จะมีการมอบเกียรติบัตรเพื่อยกย่องความดี รวมทั้งของรางวัลต่างๆเพื่อให้กำลังใจแก่ครอบครัวของน้องแบม และยังคงเชื่อมั่นว่าหลังสำเร็จการศึกษาไปแล้วนั้นน้องแบมจะเป็นหนึ่งในบุคลากรที่สำคัญของไทยที่หลายหน่วยงานต้องการตัวเข้าร่วมทำงาน ซึ่งหากติดขัดในเรื่องเรียน หรือเรื่องใด น้องแบมก็สามารถที่จะเข้าขอรับคำปรึกษากับตนเองได้ทันที แต่ขณะนี้คงต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยให้กับน้องด้วย เพราะน้องคือพยานปากสำคัญในคดีนี้ที่กำลังเกิดขึ้น
นายเข็มชาติ กล่าวต่ออีกว่า การยกย่องประกาศเกียรติคุณครอบครัวของน้องแบมและตัวของน้องแบมนั้นจะมีขึ้นในวันที่ 2 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ขณะที่แนวทางการสืบสวนสอบสวนนั้นทราบว่าขณะนี้ เลขาธิการ คสช.ได้มีคำสั่งให้ ป.ป.ท.ทำการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าทางคดีอย่างมากและมีการตรวจสอบไปยังหลายศูนย์ฯ ดังนั้นขอให้การสืบสวนเฉพาะที่ขอนแก่นเร่งดำเนินการอย่างละเอียดและแยกเป็นรายคดี โดยระยะเวลาที่ทำการสอบสวนที่กำหนดไว้ 3-6 เดือนนั้นโดยส่วนตัวมองว่านานไป เพราะเรื่องนี้มีการสืบสวนไปแล้วและมีความคืบหน้าอย่างมาก จึงอยากให้ ป.ป.ท รวมทั้ง คสช.และรัฐบาล เร่งสรุปมูลความผิดและเอาผิดกับผู้ร่วมขบวนการในคดีดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้ให้ทั้งหมดทุกคน เพราะจะได้คลายข้อสงสัยในเรื่องการทุจริตดังกล่าวให้กับสังคมนั้นได้รับทราบ เพราะเป็นการกระทำที่ย่ามใจ อุจอาจ น่าจะทำกันเป็นขบวนการ อีกทั้งยังคงมียอดเงินในจำนวนที่มาก จึงมองได้ว่าน่าจะทำกันมานานแล้ว และเงินที่หายไปนั้นหายไปไหน
ที่ จ.บึงกาฬ นายไสว ศรีหะ ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดบึงกาฬ ให้สัมภาษณ์ชี้แจงภายหลัง ป.ป.ท.ตรวจสอบเบื้องต้นพบที่ศูนย์ฯ อาจเข้าข่ายทุจริตเป็นแห่งที่ 3 กรณีผู้ขอรับเงินสงเคราะห์หลายรายไม่ได้เงินตามที่อนุมัติ ว่า ป.ป.ท.ได้เข้ามาที่ศูนย์ฯ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. เพื่อขอตรวจสอบ ซึ่งเราก็ให้ความร่วมมือด้วยการถ่ายสำเนาเอกสารหลักฐานต่างๆ ตั้งแต่รายชื่อเบิกจ่ายเงิน ใบเซ็นรับเงิน ใบสอบข้อเท็จจริงเคส ทุกอย่างให้ไปหมด จากนั้นป.ป.ท.ก็สุ่มลงพื้นที่ไปตรวจในตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังคือตำบลท่าสะอาด อำเภอเซกา แล้วบอกว่ามีการทุจริต ผู้ขอรับความช่วยเหลือไม่ได้เงินที่อนุมัติ ซึ่งตนและทีมงานก็ตกใจและเครียด ทั้งที่ได้ดำเนินการโปร่งใสมาตลอด โดยมีเอกสารหลักฐานยืนยันทุกขั้นตอน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสชี้แจง
...
นายไสว กล่าวอีกว่า จังหวัดบึงกาฬมี 8 อำเภอ 53 ตำบล ขณะที่บุคลากรศูนย์ฯ ทั้งหมดรวมผอ.เพียง 12 คน คงดูแลกลุ่มเป้าหมายทั้งจังหวัดไม่ไหว ที่ผ่านมาเราจึงทำงานกับตำบล เทศบาล และกลุ่มต่างๆ อาทิ กลุ่มดูแลผู้สูงอายุ กลุ่มฝึกอาชีพ กลุ่มดูแลคนไข้จิตเวช ทำอย่างไรจะส่งเสริมให้กลุ่มมีความเข้มแข็ง เพื่อให้เขาสามารถดูแลกันเอง ในการป้องกันไม่ให้คนออกมาเร่ร่อนและขอทาน โดยแต่ละปีตำบล/เทศบาลและกลุ่มก็จะเขียนโครงการของบมา มีเอกสารวัตถุประสงค์โครงการตลอดจนรายชื่อสมาชิกต่างๆ เราก็ตรวจสอบตามขั้นตอนและเบิกจ่ายงบให้ แต่ก็อาจไปพลาดในขั้นตอนที่เรามอบเงินผ่านผู้นำกลุ่ม ก็เป็นไปได้ว่าเมื่อผู้นำกลุ่มรับเงินไปแล้ว อาจไม่ได้ทำความเข้าใจกับสมาชิกทุกคน แต่นำเงินไปทำกิจกรรมเลย ทำให้สมาชิกในกลุ่มไม่ทราบว่าได้เงินมาแล้ว ฉะนั้น ป.ป.ท.ก็อาจต้องไปถามท้องถิ่นและกลุ่มว่าได้รับเงินจริงหรือไม่ เท่าไร ซึ่งศูนย์ฯมีเอกสารหลักฐานตอนรับมอบเงินกับผู้นำท้องถิ่นหรือตัวแทนกลุ่มครบถ้วน ส่วนการจ่ายเงินสงเคราะห์รายคน ส่วนใหญ่พบเป็นปัญหาเฉพาะหน้า อาทิ คนตกงาน ลูกไม่มีเงินไปเรียน ในส่วนนี้ไม่มีปัญหา
"ถึงนาทีนี้ยังยืนยันว่า ทำงานโปร่งใสมาตลอด พร้อมให้ตรวจสอบ เพียงเราอาจผิดพลาดในกระบวนการมอบเงิน ซึ่งต่อไปอาจต้องปรับวิธีใหม่คือ ให้เป็นรายคนให้ครบ แล้วไปรวมกันทีหลังแทน ซึ่งคิดว่าหลายๆ ศูนย์ที่มีปัญหา ก็อาจมาจากสาเหตุนี้เช่นกัน" นายไสวกล่าว.